วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

สวัสดีค่ะทุกคน และประกาศข่าวดี สำหรับผู้ที่ยังอ่านเล่ห์รบกลรักภาคแรกไม่จบ



สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกคน สบายดีหรือเปล่าคะ สำหรับคนที่มาใหม่คงต้องบอกว่ายินดีต้อนรับสู่บล้อกสำรองของฉันค่ะ จริงๆ ฉันเป็นบล้อกเกอร์มาจาก Exteen ค่ะ สาเหตุที่เริ่มเขียนบล้อกเพราะเป็นคนที่มีงานอดิเรกในการเขียนค่ะ โดยเฉพาะวรรณกรรมที่เขียนเรื่อยๆ



ผลงานล่าสุดที่ฉันเขียนก็คือนวนิยายแนวเจ้าหญิงเจ้าชายชื่อว่าเล่ห์รบกลรักค่ะ เป็นงานเขียนธรรมดาๆ ตามที่คนทั่วไปอย่างฉันเขียนค่ะ มันอาจจะไม่ใช่งานที่ดีเลิศหรือเก๋ไก๋ถึงขั้นได้รับการตีพิมพ์ แต่ฉันก็สนุกกับมันมากและหวังว่าทุกคนจะสนุกกับมัน ซึ่งนวนิยายดังกล่าวเป็นนวนิยายขนาดยาวค่ะ มีทั้งหมดสามภาค ใน Blogger จะอัพเดตเฉพาะภาค2เป็นต้นไปค่ะ หากท่านสนใจสามารถเริ่มต้นอ่านได้ที่ Exteen ค่ะ





สำหรับคนที่เคยติดตามผลงานของฉันในภาคแรก แต่อ่านไม่จบ ฉันขอโพสข่าวดี (?) ว่าฉันจะอัพเดตบทที่หายไปในภาคแรกของเล่ห์รบกลรักให้ทุกคนอ่านเป็นเวลาหนึ่งเดือน (ที่ Exteen ) ค่ะ โดยจะนับจากวันที่ 26 มีนาคม - 26 เมษายน 2558 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยและการขออภัยที่อัพเดตช้าค่ะ



ท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งหนึ่งนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เผลอแวะเข้ามาอ่านหรือสนับสนุนตลอดมาก็ตาม



Ipomée et la lune



เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่5





บทที่๕



          แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาในพระตำหนักแห่งยุวกษัตรีย์ ทำให้พระกรทั้งสององค์ซึ่งซ้อนทับรับพระเศียรบนโต๊ะทรงงานแดงเรื่อและระคายเคืองจากความร้อนจนผู้เป็นเจ้าของสะดุ้งตื่น พระโลมาจักษุเบิกขึ้นอย่างช้าเชื่องก่อนจะเผยให้เห็นพระเนตรสีดำขลับที่แม้จะแดงก่ำแต่ก็ยังคงประกายสุกใสเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์





          เจ้านางอุษาทรงทอดพระเนตรยังหนังสือที่ยังคงกางออกแล้วหยิบพระจุฑามณีซึ่งทรงถอดวางไว้เสียบคั่นก่อนทรงบิดพระวรกายและประทับยืน นิ้วพระหัตถ์เรียวยาวเอื้อมจับปลายพู่ไหมด้านขวาและดึงโยกไปมาจนกระพรวนที่สุดปลายสายดังเสียงใส





          ไม่ช้าประตูหนาหนักก็ถูกเปิดออกตามด้วยหญิงรับใช้หลายนางที่กุลีกุจอนำเสด็จไปยังห้องสรงซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง





          น้ำอุ่นถูกเติมในอ่างส่งควันอวลกลิ่นหอมฉุย หญิงรับใช้สองคนเข้ามาช่วยโฉมสะคราญถอดเครื่องทรงลงสรง ก่อนจะเดินไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่หลังม่านพับ





          อุษาทรงวักน้ำลงบนพระพักตร์ก่อนปล่อยใจให้ผ่อนคลาย





          พระนางโปรดปรานการทรงพระอักษร การเลี้ยงดูอย่างกษัตริย์ทำให้พระนางถูกโดดเดี่ยวจากเด็กในวัยเดียวกันมาโดยตลอด และเมื่อความหรูหราและพรั่งพร้อมไม่ได้ทำให้หัวใจของเด็กหญิงคลายจากความเหงา อุษาจึงปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับกองหนังสือต่างๆ ที่พาใจของนางหนีออกจากขอบรั้วที่ทั้งหนา สูง และเย็นชาไปแม้เพียงชั่วคราวก็ตาม





          เมื่อชำระเนื้อตัวจนสะอาดสะอ้านดีแล้ว ราชตระกูลสาวก็ยืนขึ้นและก้าวออกจากอ่างสรงไปยังผ้าซับพระวรกายซึ่งนางกำนัลกางไว้รอรับ และแน่นอนว่าความเคยชินทำให้สาวงามไม่รู้สึกกระดากอายกับสายตาของพวกหล่อนแต่อย่างใด





          เครื่องทรงและเครื่องสำอางถูกจัดไว้อย่างประณีต เพราะนางกำนัลซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือเรื่องเครื่องภัสตราภรณ์นั้นมีความเชี่ยวชาญเรื่องความงามเป็นอย่างยิ่ง

 



          อุษายิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นผลงานของนางบนกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า เจ้าหญิงน้อยทรงโชคดีที่มีรูปโฉมที่งดงาม แต่ความงามนั้นหรือจะเบ่งบานออกมาได้เต็มที่เมื่อไร้การปรุงแต่ง ทุกคนที่ได้ยลโฉมต่างถูกล่อลวงด้วยความเรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นทุกสิ่งถูกเครื่องสำอางขับออกมาจนโดดเด่น





          โดยเฉพาะโครงเค้างามสง่าสมกับเป็นราชินีแห่งประเทศ





          รอยแย้มสรวลเลือนหายไปเล็กน้อยเมื่ออุษาทรงอนุสรณ์ถึงความจริงข้อนี้ ความสง่างามนั้นมักจะมาพร้อมกับความแข็งกระด้างที่บดบังความอ่อนหวานอันเป็นเสน่ห์ที่บุรุษต่างหลงใหล





          นางกลัวเหลือเกินว่าคนผู้นั้นจะมองข้ามมัน...





          เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะเฉพาะบ่งบอกว่าเจ้าหญิงกำลังจะสายทำให้พระนางเรียกให้นางกำนัลเตรียมพร้อมทันที





          จอมนางน้อยทรงลอบถอนพระอัสสาสะก่อนจะแย้มสรวลอย่างแช่มชื่น พระนางทรงกังวลเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่านางจะพบคนผู้นั้นทุกวันสักหน่อย วันนี้เขาก็ไม่มีกำหนดการมาเสียด้วย





          ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านโถงรูจีซึ่งตกแต่งด้วยภาพเขียนสีฝุ่น ทองคำ กระจกและเครื่องเรือนชั้นสูง ท้องฟ้าเบื้องนอกเป็นสีครามจัดตัดกับสนามหญ้าและต้นไม้เขียวขจีซึ่งผลิดอกออกใบกันเต็มต้นทำให้จิตใจของหญิงสาวทุกนางรู้สึกสดชื่น





          ต่างจากนางกำนัล พระเนตรสีดำขลับราวกับปีกแมลงของเจ้าหญิงน้อยปรายมองสวนเบื้องนอกด้วยความว้าเหว่ แม้อาณาเขตของมันกว้างใหญ่แต่ก็เงียบสงัดไร้ซึ่งผู้คน





          มันจะเป็นเช่นไรนะหากสวนที่สวยงามแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่สนทนาและหัวเราะร่วมกันอย่างผ่อนคลายและร่าเริง





          ประตูไม้หนาหนักบานสุดท้ายถูกเปิดออก ภายในห้องมีดรุณีแน่งน้อยนั่งมองมาที่อุษาเป็นจุดเดียว





          เสียงถวายบังคมนุ่มนวลดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง เช่นเดียวกับการถอนสายบัวลงต่ำที่ทำได้อย่างงดงาม ซึ่งก็นับเป็นสิ่งปกติที่จากกุลสตรีตระกูลชั้นสูงต้องทำได้





          ใช่แล้ว หญิงสาวทั้งหลายนั้นคือสุภาพสตรีผู้สืบเชื้อสายของขุนนางในราชสำนักแห่งศารทประเทศ





          “เชิญนั่งตามสบายเถิด ทุกคน” อุษาซึ่งประทับนั่งลงบนพระที่นั่งแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเมตตา





          สตรีทุกคนนั่งลงตามพระดำรัสพร้อมกับหยิบพิณมาลาขึ้นมาวางไว้บนตัก แม้จะถูกเกณฑ์มาเพื่อเป็นเพื่อนในการร่ำเรียนสำหรับเจ้านางแล้วพวกนางไม่ใช่สหาย  เด็กสาวเหล่านี้ไม่ต่างอะไรหุ่นยนต์ที่เอาแต่ทำตามคำสั่ง





          อันที่จริงพระนางเองก็เป็นหุ่นยนต์อีกตัวหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือนางเป็นหุ่นที่ถูกชักเชิดให้เล่นบทบาทสำคัญกว่าทุกคนเท่านั้นเอง





          พระอาจารย์ซึ่งนั่งบนแท่นต่ำกว่าเองก็หยิบพิณของตนขึ้นมาเช่นกัน นางเป็นท่านผู้หญิงหม้ายสูงวัยซึ่งเคร่งครัดในระเบียบดั้งเดิมจนเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศให้แก่ชาวราชสำนักใหม่





          ทว่าทันใดนั้นเอง หลังจากบทเพลงถูกบรรเลงไปเพียงไม่กี่จังหวะ เสียงฝีเท้าตึ่งตังก็ดังขึ้นจนดึงความสนใจของกุลสตรีทุกนางไปเสียสิ้น





          ประตูบานหนาถูกเปิดออกอีกครั้งเผยให้เห็นร่างเล็กของกุลธิดาซึ่งวิ่งแล่นเข้ามาในห้องทรงดนตรีด้วยความไวที่น่าทึ่ง จนเจ้าตัวสะดุดเกือบหัวคะม่ำ





          อุษาทรงหลุดสรวลเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นผมเผ้าที่หลุดลุ่ยของเด็กสาวคนนั้นก่อนจะทรงแสร้งขิปสัทโทกลบเกลื่อนเมื่อเห็นสายตาเขียวกร้าวของท่านผู้หญิง





          “การรักษาเวลาเป็นสิ่งที่สุภาพชนชาวศารทะควรปฏิบัติอย่างเสมอต้นเสมอปลายนะคะคุณวาสินี...”





          พระอาจารย์ตำหนิจนเด็กสาวได้แต่นิ่งเงียบรีบจัดทรงผมอย่างน่าสงสารแต่ก็ไม่วายขยิบตาให้กับเจ้าหญิงน้อยซึ่งพยายามกลั้นสรวลเต็มที่ หากมีใครสักคนที่อุษาพอจะทรงเรียกได้ว่าเป็นสหายก็คงจะมีแต่เด็กสาวที่เป็นตัวของตัวเอง อย่างวาสินีเพียงคนเดียว





          อุษาทรงพระขิปสัทโทอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดังกว่าก่อนเพราะหมายดึงความสนใจจากหญิงชรา





          “ที่ท่านต่อว่านางสมควรแล้วท่านผู้หญิงเมฆา” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานและให้เกียรติ “แต่พวกเราต่างรอคอยบทเรียนของท่านอยู่นะ”





          แม้แม่แก่ในชุดดำไม่ได้ยิ้มหรือร่าเริงยินดีต่อพระดำรัสนั้น แต่แผ่นหลังที่ยืดตรงของนางก็ทำให้เจ้าหญิงทรงทราบว่านางพอใจกับมันมากทีเดียว





          วาสินีรีบถือโอกาสแจ้นไปประจำที่ทันที นางหน้างออย่างฉุนโกรธเมื่อนึกถึงต้นเหตุสำคัญที่ทำให้นางต้องขายหน้าในเช้านี้ ทุกอย่างเป็นความผิดของยาปนแท้ๆ ที่แหย่นางจนมาสาย





          พระอาจารย์เองก็เดินกลับไปนั่งบนแท่นของนางเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นสายตาแหลมคมราวกับเหยี่ยวนั้นเหลือบไปเห็นความขุ่นเคืองบนดวงหน้าของวาสินี





          มือเรียวยาวและผอมของท่านผู้หญิงวางพิณลงก่อนจะหันไปกราบทูลเจ้าหญิงน้อย





          “ก่อนที่เกล้ากระหม่อมฉันจะสอนต่อ เกล้ากระหม่อมฉันใคร่ขอพระอนุญาตจากใต้ฝ่าพระบาทสุ่มทดสอบความรู้ของสหายร่วมชั้นของฝ่าบาทด้วยเพคะ”





          อุษาทรงทราบดีว่าแม่เฒ่าหมายถึงผู้ใดจึงทรงแย้มสรวลกว้าง





          “ถ้าเช่นนั้นก็ให้เราเป็นหนึ่งในผู้ถูกทดสอบด้วยเถอะ”





          หญิงชราไม่ขัดต่อพระดำรัส ไม่ใช่เพราะจำใจปล่อยให้เจ้าหญิงทรงกู้หน้าให้กับวาสินี แต่เป็นเพราะเจ้าหญิงเป็นหนึ่งในนักเรียนที่นางภาคภูมิใจและหวังว่านักเรียนทุกคนจะจำไว้เป็นแบบอย่าง





          พระหัตถ์เรียวยาวสวมฉลองพระองคุลีไล้ไปตามสายพิณส่งสำเนียงและท่วงทำนองใสราวกับสายน้ำออกมาก่อจะแปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองสง่างามและฮึกเฮิมของบทเพลงที่มักจะใช้ประกอบลำนำของวีรบุรุษผู้หนึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้ซึ่งนำชนชาติชาวศารทะอพยพมาจากมหาทวีป





          มันเป็นมหากาพย์หนึ่งพระนางเคยชื่นชอบตั้งแต่ยังเล็ก





          และเมื่อเสียงเพลงนั้นจบลง นักเรียนทุกคนต่างก็ปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียง





          ยุวราชนารีทรงแย้มสรวลกว้างรับคำชมแต่นั่นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่จริงใจเลยสักนิด เพราะพระนางทรงทราบดีว่าตนเองไม่ใช่นักเรียนที่ดีที่สุดในชั้นดังที่ทุกคนต่างยกยอปอปั้นเอาใจ





          ท่านผู้หญิงหม้ายยิ้มอย่างชื่นชม นางเปลี่ยนใจหันไปทางเด็กสาวผู้งดงามซึ่งนั่งอยู่ติดกับตนเพื่อให้เป็นผู้บรรเลงคนต่อไป





          เด็กสาวคนนั้นหยิบพิณมาลาขึ้นมาและบรรเลงต่อ นางทำได้ไม่ดีเท่าเจ้าหญิงน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความสามารถที่ต่ำกว่าที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น แท้ที่จริงบทเพลงดังกล่าวนั้นมีจังหวะที่ซับซ้อนและยากที่จะบังคับเครื่องดนตรีให้บรรเลงดังใจ





          “ทำได้ดีมาก แต่ควรจะฝึกฝนให้มากกว่านี้” ท่านผู้หญิงกล่าวสั้นๆ และนั่นไม่ยุติธรรมเลย เพราะนางเป็นคนที่ทำให้เด็กสาวคนนี้ต้องแสดงความเคารพต่อเจ้านางเช่นนี้





          รอยแย้มสรวลถูกระบายบนใบหน้าอีกครั้งเมื่อเด็กสาวผู้นั้นถอนสายบัวถวาย แต่ลึกลงไปในพระทัยนั้นกลับทรงขุ่นเคืองเพราะพระนางทรงทราบดีว่ากุลธิดาผู้นี้คือนักเรียนที่ดีที่สุดของท่านผู้หญิง





          อุษาทรงเกลียดเรื่องแบบนี้





          “เอาล่ะ” พระอาจารย์กล่าวและหันไปทางเหยื่อของตนในที่สุด “แม่วาสินี เธอคือคนสุดท้าย”





          โดยปกติแล้ววาสินีคงอิดออดเมื่อต้องออกมาแสดงต่อจากเด็กสาวคนนั้น แต่คราวนี้นางกลับลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉงจนอุษาทรงแปลกพระทัย





          วาสินีแอบขยิบตาอย่างนึกสนุก นางใช้เวลาตั้งหนึ่งสัปดาห์เต็มในการฝึกซ้อมและนางคิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าพึงพอใจมากทีเดียว





          ชิ คอยดูเถอะแม่เฒ่า...





          โน้ตตัวแรกถูกบรรเลงออกมาเป็นบทเพลงเดียวกับเด็กสาวคนก่อน ทว่าเสียงของมันกลับต่างออกไปจากที่เคยเช่นเดียวกับการวางนิ้วที่แปลกไป





          แม้ไม่ถึงกับไร้ที่ติแต่ความไพเราะนั้นกลับมีมากมายกว่าบทเพลงกระท่อนกระแท่นอย่างที่นักเรียนดีเด่นบรรเลงนัก





          ยิ่งกว่านั้นจังหวะในการบรรเลงและทำนองของวาสินีนั้นก็แปลกประหลาดมากเสียด้วย มันทั้งร่าเริง ซุกซน อ่อนหวานและด้วยความเศร้าอย่างน่าอัศจรรย์





          “พอได้แล้ว”





          น้ำเสียงเฉียบขาดของแม่เฒ่าทำให้วาสินีต้องหยุดบรรเลงดนตรีกลางคัน ไม่มีเสียงปรบมือหรือชื่นชมของออกมาจากปากของนักเรียนคนอื่นๆ ทุกคนได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยในพฤติกรรมของอาจารย์





          อุษาเองก็สงสัยเช่นเดียวกับคนอื่นแต่ก็ได้แต่ทรงเยื้อนพระโอษฐ์เพราะดูเหมือนแม่ครูกำลังฉุนเฉียว





          ท่านผู้หญิงหยิบพิณของตนขึ้นมาและบรรเลงเพลงเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ท่วงทำนองนั้นแทบจะสมบูรณ์แบบ กล้าหาญและสง่างามอย่างที่ชาวศารทะรู้จัก





          “นี่คือนาวาชมจันทร์อย่างชาวศารทะ” นางประกาศก่อนจะก้าวฉับๆ มาประจันหน้ากับวาสินี “คุณวาสินีฉันขอเตือนเธอก่อนว่าสิ่งที่เธอบรรเลงเมื่อครู่เป็นดนตรีแบบพวกชาวประมงกับโจรสลัดอย่างที่พวกใจแตกชอบกัน”





          เท่านั้นไม่พอมือเยียบเย็นของเฒ่าจับมือของวาสินีวางตนตำแหน่งเดิมอย่างที่ควรจะเป็น





          “เธอเป็นชาวศารทะดังนั้นเธอต้องทำตามธรรมเนียมของเรา”





          เมื่อแม่เฒ่ากล่าวจบลงเสียงหัวเราะก็เพื่อนร่วมชั้นก็ดังขึ้นทำให้วาสินีรู้สึกอับอายจนหูแดงก่ำ





          ห่างออกไปบนเจ้าอี้พระที่นั่ง เจ้านางอุษาไม่ทรงสรวล เจ้าหญิงไม่ทรงเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องตลก อันที่จริงท่วงทำนองของวาสินีนั้นเพลิดเพลินและน่าทึ่งมากเสียด้วยซ้ำ





          จริงสิ นางเคยบอกว่านางมีครูสอนมรรยาทคนใหม่...





          เจ้าหญิงทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างทรงพระดำริบางสิ่งที่น่าสนพระทัยออกมา บางทีครูคนใหม่นั่นอาจเป็นที่มาของดนตรีแบบนี้ก็เป็นได้





          แววพระเนตรซุกซนฉายบนพระพักตร์งาม โฉมงามทรงดีดพระองคุลีที่พระหัตถ์ข้างซ้ายเรียกนางกำนัลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ให้เดินเข้ามาเพื่อทรงกระซิบสั่ง





          “แจ้งกับท่านผู้หญิงอารดาว่าวันนี้เราจะไปเยี่ยมคฤหาสน์ของนาง”









---***~~ *** ~~***---









          สายลมพัดผ่านพื้นถนนหอบเอาเศษธุลีดินขึ้นมาจนเจ้าของกระโปรงสีกรมท่าตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีซึ่งก้าวฉับๆ ไปข้างหน้าหยุดชะงักด้วยความระคายเคืองในดวงตา





          หญิงสาวซึ่งก้มหน้าค่อยๆ กระพริบตาช้าๆ ขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาก่อนจะเงยหน้าหนึ่งและก้าวเดินต่อไป





          ทุกคนที่สัญจรไปมาต่างรู้ได้ทันทีว่านางเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่เพราะเส้นผมสีแปลกตาหรือรูปร่างที่แตกต่างออกไป แต่เป็นเพราะไม่มีสุภาพสตรีผู้มีอันจะกินตามแบบศารทะคนใดที่กล้าหาญพอจะเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกนิวาสสถานเพียงลำพังให้เป็นที่ติฉินนินทา





          แต่จะกล่าวว่านางจงใจแสดงออกขัดกับธรรมเนียมศารทะก็คงจะไม่ใช่ เพราะไม่มีใครที่ต้องการเดินฝ่าสายแดดร้อนแรงในยามบ่าย หลายคนโดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะดีต่างพยายามเจียดเงินจ้างบริการรถม้า และสุภาพสตรีผู้นี้ซึ่งกำลังแบกพิณในห่อผ้าย่ำบนถนนปูกรวดในบริเวณย่านที่พักอาศัยของขุนนางเก่าแก่ก็คงจะไม่ต่างกัน





          มือซ้ายหยาบกร้านซึ่งสวมแหวนบนนิ้วนางอันบ่งบอกถึงสถานะสมรสนั้นค่อยๆ ซับผ้าเช็ดหน้าตามตีนผม ที่แท้สตรีนางนี้บังคับตนให้เดินเพราะวงแหวนที่ยึดล้อรถม้าที่มาส่งนางนั้นหักบริเวณปากทางเข้าสู่ถนนใหญ่





          ในที่สุดคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในตรอกนั้นก็อยู่ตรงหน้าของนาง สีนวลเปลือกไข่ของมันจัดกับประตูรั้วสีเทาหยาบ สีแดงของอิฐและสีเขียวขจีของแมกไม้นานาพันธุ์ซึ่งปลูกภายในอย่างชัดเจน ในอดีตมันเคยเป็นบ้านพักตากอากาศของขุนนางใหญ่คนหนึ่ง ทว่าในยามนี้มันได้กลายเป็นบ้านสำหรับพำนักจริงๆ จึงมีการต่อเติมมากมายอยู่หลายจุดจนเป็นที่สังเกตเห็น





          สตรีต่างถิ่นสั่นระฆังเรียกคนจากภายในก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะน้ำหนักของพิณทำให้หลังของนางปวดมากทีเดียว





          เด็กสาวคนหนึ่งแจ้นออกมาเปิดประตูรับ นางเป็นหญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งแม้จะมีหน้าตาที่ดูพื้นๆ แต่ก็มีรูปร่างที่สมส่วนและกริยาที่น่ารักสมวัย





          ผู้มาเยือนยิ้มทักทายอย่างร่าเริง นางถอดหมวกปีกกว้างออกเผยให้เห็นดวงหน้าคมกระจ่างและดูสดใส ผิวของนางออกจะมีเกรียมแดดและมีกล้ามเนื้อมากเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามแบบชาวศารทะที่นิยมสตรีร่างบางและผิวสีขาวราวกับเปลือกไข่





          แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุดกลับเป็นดวงตาคู่โตที่สะท้อนกับแสงแดดจนเป็นสีเทา





          หญิงรับใช้เบนสายตามองไปทางอื่นทันทีที่สบตา สุภาพสตรีผู้นี้เป็นครูสอนมรรยาทคนใหม่ของคุณหนู พวกนางจึงเคยพบกันหลายครั้งแล้ว และผู้หญิงคนนี้ก็เป็นมิตรและยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่สายตาคมกริบนั่นก็ทำให้เด็กสาวซึ่งไม่เคยชินกับชาวต่างชาติรู้สึกขนลุก





          “วันนี้ท่านผู้หญิงกับคุณหนูมีแขกสำคัญจึงให้ข้านำทางท่านไปพบเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะก้มหน้างุดนำหน้าไป





          สตรีซึ่งมีอายุมากกว่าเดินตามอย่างไม่อิดออด ดวงตามองผ่านยอดไม้และสวนสวยที่รื่นรมย์เหมาะแก่การหย่อนใจราวกับจะเก็บภาพนี้ไว้ในใจ





          ผู้เป็นนายจ้างยืนคอยนางอยู่ที่บริเวณหน้าเรือนใหญ่ แม้จะพบกันหลายครั้งแล้วแต่นางกลับดูแตกต่างไปจากเดิมเพราะนางสวมเสื้อผ้าที่เป็นพิธีการกว่าทุกๆ วัน





          “เจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเสีย หารินี” หญิงที่สูงวัยกล่าวรีบหันสั่งการข้ารับใช้ก่อนที่ผู้มาเยือนจะมีโอกาสโอภาปราศรัยด้วย





          และเมื่อเห็นว่าหญิงรับใช้รับคำสั่งนั้นและจากไปแต่โดยดีแล้วนางก็หันมาทางครูสอนมรรยาทของบุตรี ดวงตาสีดำขลับที่ในอดีตคงมัดใจเหล่าบุรุษมามากมายกวาดมองการแต่งกายของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก





          “เชิญทางนี้”





          หญิงชาวเหนือยิ้มหวานทำตามคำขอนั้นแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างก็ตาม





          “ฉันไม่เห็นรถม้าของคุณเลย” ผู้เป็นนายจ้างเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงสูงคล้ายจะติเตียนกลายๆ





          หญิงสาวผู้เดินตามมาหัวเราะขัน





          “รถม้าที่ท่านให้ไปรับดิฉันเกิดชำรุดที่ตลาด ฉันจึงรีบเดินมาเจ้าค่ะ”





          ท่านหญิงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อคำตอบนี้ นางยังคงจ้ำไปข้างหน้า ตรงไปยังระเบียงริมน้ำหลังคฤหาสน์ก่อนจะหยุดเดิน หันมาที่ครูสอนพิเศษของบุตรีอย่างเป็นการเป็นงาน





          สตรีสูงวัยมองใบหน้าของอีกฝ่าย นางรู้จักผู้หญิงคนนี้ผ่านการแนะนำของญาติห่างๆ และพึงพอใจเป็นอย่างมากที่บุตรสาวได้รับการเอาใจใส่อย่างดี เพราะถึงนางจะมีบุคลิกเย็นชาเพราะการวางตัวอย่างไร้ที่ติจนเป็นนิสัย แต่นางก็รักใคร่บุตรีของตนไม่แพ้พี่ชายของนางทั้งสองคน





          ดวงตาสีเหล็กกล้านั้นเป็นหลักฐานว่าหญิงตรงหน้าของนางนั้นเป็นชาวมหาทวีปอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งนี้ก็เป็นเหตุให้นางรู้สึกกังวล แต่ท่าทางเป็นมิตรและความจริงใจของผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้นางผ่อนคลายความวิตกไปได้บ้าง





          อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็ตัวคนเดียวจะกล้าหาญอุกอาจทำอะไร...





          “คุณกฤตยา” เจ้าบ้านเอ่ยชื่อของครูสอนพิเศษขึ้นในที่สุด





          “วันนี้เรามีแขกสำคัญมากคนหนึ่งมาเยือน” นางเว้นช่วงเพื่อสังเกตอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยช้าๆ เพื่อเน้น





          “แขกคนนั้นคือเจ้านางอุษา”





          ปฏิกิริยาของครูสอนพิเศษนั้นแสนธรรมดากว่าที่นางคาดคิด มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างเท่านั้นที่บ่งบอกความยินดีและประหลาดใจ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะนางเป็นครูสอนมรรยาทที่ต้องสมรวมกริยา





          เจ้าบ้านกระแอมเล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจ “เจ้านางโปรดดนตรีที่วาสินีบรรเลงและต้องการ เอ่อ...พบกับผู้ที่สอนนาง คุณคงรู้ใช่ไหมว่าต้องวางตัวเช่นไร”





          รอยยิ้มที่กว้างนั้นเป็นคำตอบและมันทำให้ใจของท่านหญิงผู้สูงส่งรู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย





          “เดินตามข้ามา”





          เสียงพิณไม่เป็นจังหวะดังแทรกขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองสตรีจะถึงที่หมาย และเมื่อพวกนางเดินล่วงผ่านหมู่ไม้เข้าไปก็พบกับศาลาหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ริมสระบัว





          สายลมฤดูร้อนพัดผ่านศาลาและต้นหลิวริมสระให้สั่นไหวพร้อมทั้งหอบเสียงหัวเราะร่าของเหล่าดรุณีมายังผู้มาเยือนทั้งสอง และพวกนางก็คงรื่นเริงต่อไปหากไม่ใช่เพราะเสียงกระแอมของท่านผู้หญิงเจ้าของบ้าน





          ผู้ที่ผละออกจากกลุ่มเด็กสาวคนแรกคือสตรีโฉมงามที่กฤตยาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นางก็ระลึกได้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กสาวที่สวยที่สุดคนหนึ่งซึ่งนางเคยพบมา แต่สิ่งที่แตกต่างจากบรรดาเด็กสาวอื่นๆ นั่นก็คือท่วงท่าสง่างามสมกับเลือดขัตติยา





          เด็กคนนี้ต้องเป็นเจ้านางอุษาไม่ผิดแน่





          “ถวายบังคมเพคะ” ท่านผู้หญิงยอบตัวถอนสายบัวถวายก่อนและตามมาด้วยครูสาว





          เจ้านางน้อยทรงชำเลืองมาที่สตรีแปลกหน้าก่อนจะทรงหันมามีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าบ้านหญิง “วันนี้เราต้องรบกวนท่านมาก ท่านหญิงอารดา”





          ผู้เป็นเจ้าบ้านยิ้มและถวายบังคมอีกครั้ง “ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบ แต่นี่หาใช่การรบกวนแต่อย่างใด เกล้ากระหม่อมฉันยินดีที่ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จเยือนเสมอ”





          เจ้าหญิงทรงแย้มสรวลรับคำชมนั้นก่อนจะทรงหันมารับสั่งกับสตรีอีกนางบ้าง





          “ท่านคงเป็นอาจารย์ของวาสินีเป็นแน่” พระนางตรัสอย่างทรงเมตตา “นางกล่าวชมท่านให้เราฟังตั้งมากมาย”





          กฤตยายอบตัวลงต่ำก่อนมองไปทางลูกศิษย์ที่ยิ้มร่าอยู่ไม่ห่างแล้วตอบรับสั่งนั้น





          “นั่นเป็นเพราะวาสินีเป็นนักเรียนที่ดีต่างหากเพคะ”





          พระขนงของจอมนางเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างทรงแปลกพระทัย จริงอยู่ที่กฤตยากราบทูลด้วยโทนเสียงนุ่มนวลแต่น้ำเสียงธรรมชาติของนางนั้นกลับหนักแน่นและมีอำนาจบางอย่าง





          ยิ่งไปกว่านั้นอุษาทรงสังเกตเห็นว่าในน้ำเสียงนั่นมีบางสิ่งที่ผิดปกติ...





          “ท่านพูดด้วยสำเนียงศารทะได้ดีแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน”





          พระนางตรัสขึ้นอย่างด้วยความสนพระทัยและนั่นทำให้เจ้าบ้านฉุกคิดขึ้นได้ว่าครูสาวสนทนากับตนสำเนียงชาวศารทะ ไม่ใช่สำเนียงบ้านเกิดของนาง





          แต่เพราะเหตุใดกันละ





          “ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น ใต้ฝ่าพระบาททรงพระปรีชาจริงๆ เพคะ” รอยยิ้มระบายบนดวงหน้าของสตรีผู้มีดวงตาสีเทา “เกล้ากระหม่อมฉันคิดว่าคู่สนทนาจะสบายใจกว่าหากเกล้ากระหม่อมฉันกล่าวด้วยสำเนียงพื้นเมือง”





          หากคราวนี้นางกล่าวด้วยสำเนียงบ้านเกิดของนางเองซึ่งเร็วกว่าและเป็นจังหวะที่ต่างออกไป





          อุษาทรงสรวล พระองค์ทรงรู้สึกถูกพระทัยหญิงชาวเหนือคนนี้มากทีเดียว นางมีบุคลิกที่ปราดเปรียวและฉลาดเฉลียวซึ่งแสดงออกผ่านคำพูดที่เหมาะสมของนางด้วย





          แต่ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าซึ่งสวมรองเท้าบู้ตก็ดังแหวกผ่านหญ้าสวบสาบจนมาถึงบริเวณริมสระก่อนจะปรากฏร่างของสองบุรุษซึ่งกำลังแปลกใจกับแขกที่ไม่คาดฝัน





          และหนึ่งในสองคนนั้นคือคนซึ่งราชนารีน้อยทรงหลงรักอย่างหมดพระทัย





          รอยยิ้มบนใบหน้าของพลวัตถูกพรากไปพร้อมกับการปรากฏของโฉมสุดากษัตรีย์ เขาเดินนำหน้ายาปนที่เอาแต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกตรงมายังศาลาริมน้ำ





          “ถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า” เขาโค้งถวายจอมนางอย่างสง่างามสมกับเป็นหนึ่งในหัวหน้ากองราชองครักษ์ สายตาของเขาประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเลยที่เห็นพระนางนอกเขตพระราชฐาน





          พระปรางในราชนารีขึ้นสีก่ำด้วยความยินดีเมื่อเห็น เขา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นชืดที่บรรจงประดิษฐ์เช่นเดิมด้วยรู้ถึงเกียรติและฐานะของตนเอง





          “ยินดีที่ได้พบพวกท่านทั้งสองค่ะ” เจ้าหญิงน้อยทรงหันเหความสนพระทัยโดยหันไปที่ชายหนุ่มอีกคน “เราชอบสวนในบ้านของท่านมากทีเดียวท่านยาปน”





          ใบหูของเด็กหนุ่มเจ้านายใหญ่ของบ้านที่เป็นสีแดงอยู่แล้วยิ่งขึ้นเป็นสีก่ำเหมือนมะเขือเทศริมรั้ว อันที่จริงเขารู้สึกเงอะงะทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่เห็นพระพักตร์แห่งโฉมงามแล้ว





          “ข้าพระพุทธเจ้ายินดียิ่งพระพุทธเจ้าข้า” เขากราบทูลตอบหลังจากนิ่งอึ้งสักพัก โชคดีที่เขาระวังตัวพอที่จะไม่ตะกุกตะกักจนขายหน้า





          “ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาท ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จเยือนยังคฤหาสน์แห่งนี้ด้วยเหตุอันใดหรือพระพุทธเจ้าข้า”





          นายทหารหนุ่มไม่รอคอยให้อุษามีโอกาสเจรจากับผู้อื่นหากแต่ชิงกราบทูลถามอย่างรวดเร็ว และนั่นสร้างความน้อยพระทัยให้แด่ราชนารีน้อย





          พระโอษฐ์ซึ่งยังคงคลี่เป็นรอยแย้มสรวลเผยอออกก่อนจะทรงพระดำเนินถอยไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้ผู้กราบทูลถามเห็นผู้ซึ่งเป็นเหตุผลนั้น





          ดวงตาสีดำสนิทซึ่งเขียวขุ่นของพลวัตคลายความหงุดหงิดออกเช่นเดียวกับคิ้วที่ขมวดแน่น ความประหลาดใจและตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อเห็นดวงหน้าที่เคยคุ้นแม้ไม่คุ้นเคยกับผู้เป็นเจ้าของมาก่อน





          นางคือชาวต่างชาติซึ่งเขาเคยพบในกองคาราวานไม่กี่สัปดาห์ก่อนพร้อมกับยาปน





          ต่างจากเจ้าของดวงตาสีเทาเข้มราวกับท้องนภายามค่ำที่ดาษดาด้วยเมฆทึบ สตรีชาวเหนือเพียงยิ้มแย้มตามมารยาทและส่งสายตาราวกับจะถามว่าอะไรของนางที่ทำให้เขาตกใจ





          “มีอะไรหรือคะท่านพลวัต” อุษาตรัสถาม ดูเหมือนว่าอาการของเขาจะดึงดูดความสนพระทัยในเจ้าหญิงน้อยเสียแล้ว







          พลวัตกระพริบตาก่อนจะเปลี่ยนทีท่าทันที เขาเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องหรือเปล่า





          “ต้องขออภัยที่ผมเสียมรรยาทด้วยคุณนาย” เขารีบกล่าวกับคู่สนทนาอีกคนที่เขาเผลอจ้องมองนานจนเกินไป “แต่ผมไม่ได้เห็นชาวมหาทวีปมานานแล้วจึงรู้สึกประหลาดใจ”





          เมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มที่เจื่อนไปนิดหนึ่งด้วยความสงสัยของกฤตยากลับมายิ้มกว้างอย่างรื่นรมย์เช่นเดิม





          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นางกล่าวทั้งหัวเราะขันอย่างไม่ถือสา





          ชายหนุ่มฉีกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแก้เก้อแต่ดวงตาของเขายังคงจ้องเขม็งเช่นเดิม เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางจำต้องอำพรางความจริงเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นนางเสแสร้งได้อย่างแนบเนียนเสียจนน่ากลัว





          ถึงนางจะเคยบอกเขาไว้ว่าต้องการความสงบก็เถอะ แต่อย่างไรก็ควรแสดงพิรุธออกมาเสียบ้าง





          แน่นอนว่ากริยาแสนธรรมดาของสตรีต่างถิ่นก็ทำให้จอมนางเบี่ยงเบนความสนพระทัยไปสู่เรื่องเดิม





          อุษาทรงปรบพระหัตถ์เพื่อดึงความสนใจของทุกคนให้กลับไปที่ตนดังเดิม โดยเฉพาะครูสอนมรรยาทคนใหม่ของวาสินีซึ่งเป็นจุดประสงค์หลังในการเสด็จเยือนครั้งนี้





          “อันที่จริงวันนี้พวกเราได้ฝึกฝนการดนตรีกัน และวาสินีก็ได้รับเลือกให้แสดงเป็นตัวอย่าง และฉันรู้สึกประทับใจในบทเพลงและท่วงทำนองที่แตกต่างไปจากเดิมของนางมากเหลือเกิน” เจ้าหญิงตรัสโดยทรงตัดทอนรายละเอียดน่าอับอายออกไปเพื่อให้กำลังใจพระสหายและยกยอครูของนาง





          “วาสินีบอกกับฉันว่าคุณเป็นคนสอนเพลงนาวาชมจันทร์แบบทางเหนือให้กับนาง ถูกต้องหรือเปล่าคะ”





          พระปุจฉานั้นสร้างความขุ่นเคืองให้กับท่านผู้หญิงอารดา แม้นางไม่ได้รังเกียจวัฒนธรรมต่างถิ่นอย่างที่เรียกได้ว่า ดัดจริต ดั่งที่ชนชั้นสูงในราชสำนักเป็นกัน แต่นางก็โกรธที่บุตรีของตนกระทำอุกอาจเช่นนั้นต่อหน้าพระพักตร์เพราะมันจะทำให้เป็นที่ครหาได้





          กฤตยาถวายบังคมอีกครั้ง “ถูกต้องเพคะ อันที่จริงเกล้ากระหม่อมฉันเองสอนให้นางรู้เป็นแบบอย่างถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมเพียงเท่านั้น ตัววาสินีเองก็พอใจในเพลงนี้จึงซักซ้อมอยู่หลายครั้ง แต่เกล้ากระหม่อมฉันเองก็ไม่คิดว่านางจะนำไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์เพคะ หากบทเพลงนั้นเป็นที่โปรดปรานของใต้ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมฉันก็ยินดียิ่งนักเพคะ”





          ราชนารีน้อยทรงแย้มสรวลอย่างถูกพระทัยอีกครั้ง แม้กฤตยามีกริยาผ่อนคลายกว่าครูสอนมรรยาทของลูกผู้ดีทั่วไป แต่วาจาของผู้หญิงคนนี้ช่างคมคาย สมแล้วกับที่ท่านผู้หญิงอารดาเลือกสรรมาเพื่อบุตรีผู้เป็นที่รัก





          “จริงอยู่ที่วาสินีบรรเลงได้เป็นที่พอใจ แต่นางก็เพิ่งเริ่มต้นฝึกเมื่อสองสัปดาห์เท่านั้น นางจึงไม่อาจบรรเลงได้อย่างคล่องแคล่ว” พระนางตรัสก่อนจะทรงทอดพระเนตรยังสตรีต่างถิ่นอย่างมีความนัย





          “อันที่จริงเรามาเพื่อมาฟังบทเพลงของคุณ เรารู้สึกสนใจเหลือเกินและหวังว่าคุณจะยินยอม”





          บรรยากาศชวนอึดอัดกระจายไปทั่ว อันที่จริงคำขอนี้ไม่เหมาะสมเพราะการแสดงดนตรีเฉพาะพระพักตร์นั้นควรจะเป็นดนตรีที่แสดงถึงความงามสง่าอย่างศารทะ ไม่ใช่เสียงระริกระรี้เริงร่าหรืออ่อนหวานไร้สาระเหมือนชาวเหนือ และท่านผู้หญิงอารดาก็รู้สึกกระอักกระอวนใจที่เป็นเช่นนั้น





          พลวัตซึ่งเห็นท่าทางไม่ดีจึงกระทุ้งยาปนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มซึ่งมัวแต่ยืนนิ่งราวกับเป็นหุ่นกระบอกจึงได้สติและเห็นช่องทางเอาพระทัยนวลอนงค์ผู้มาเยือน





          “คุณนายได้โปรดทำตามพระประสงค์เถิด” เขากล่าวกับครูของน้องสาว “ข้าเองก็อยากจะฟังดนตรีของท่านเช่นกัน”





          แน่ละว่าประโยคหลังเป็นการโกหก พลวัตถึงกับยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะดนตรีบรรเลงยาวๆ จะทำให้ยาปนรู้สึกเบื่อจนเผลอนอนหลับทุกที





          อุษาทรงแย้มพระโอษฐ์ขอบใจหนุ่มน้อยเจ้าของเรือนแล้วทรงหันมาทางกฤตยา “ได้ยินเช่นนั้นคุณก็โปรดเล่นเถิด อย่าได้กังวลอีกเลย”





          บนดวงหน้าของกฤตยาแสดงความลำบากใจ นางยิ้มเป็นเชิงขออภัยให้กับอารดาก่อนจะนั่งลงบนแท่นและหยิบพิณเก่าของตนขึ้นมา





          เสียงพิณเป็นท่วงทำนองที่ร่าเริงและสดชื่น แต่แฝงด้วยความนุ่มนวลของหญิงสาว พิณมาลาเป็นเครื่องดนตรีอันมีต้นกำเนิดจากธิดาตระกูลคหบดีชาวมหาทวีป บทเพลงต่างๆ โดยเฉพาะบทเพลงดั้งเดิมนั้นจึงเป็นบทเพลงซึ่งสื่อความรู้สึกซึ่งไม่อยากเปิดเผยได้อย่างเต็มที่อย่างเหล่าบุรุษและด้วยเหตุนี้ลำนำพิณมาลาจากทางเหนือจึงอัดแน่นด้วยความรู้สึกและความเร้นลับ ที่ถูกแก้ไขโดยชาวอนุทวีปซึ่งไม่นิยมการแสดงออกของกุลธิดามากนัก





          อุษาทรงหลับพระเนตร ปล่อยให้เสียงดนตรีชำระล้างความสับสนในพระทัยออกไป พระนางไม่ทรงเคยสดับฟังเพลงใดที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมและลื่นไหลราวกับสายน้ำเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แม้กระทั่งจากนักดนตรีแห่งราชสำนักที่เก่งกาจที่สุดในศารทประเทศก็ตาม







          นาวาชมจันทร์เป็นเพลงโปรดของพระนางเสมอ เพราะใจความที่รื่นเริงแต่แฝงด้วยความเหงาและความเศร้านั้นสะท้อนความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อ เขา ผู้นั้นได้อย่างชัดเจนที่สุด





          พระเนตรสีดำขลับทอดมองไปยังราชองครักษ์หนุ่มราวกับจะตัดพ้อ พระนางทรงสงสัยเหลือเกินว่าจะมีสักวันที่ความรู้สึกของพระองค์จะไปถึงเขาหรือเปล่า





          เจ้าหญิงน้อยทรงเริ่มปรบพระหัตถ์และตามด้วยเหล่าข้าราชบริพารที่ปรบมืออย่างเต็มใจ





          กฤตยาลุกขึ้นและถอนสายบัวอย่างสง่างาม “ขอบพระทัยเพคะ ใต้ฝ่าพระบาททรงพระเมตตา”





          เจ้านางอุษาทรงส่ายพระพักตร์อย่างทรงจริงพระทัยเมื่อทรงได้ยินคำพูดถ่อมตนจากอีกฝ่าย แต่แล้วก็ทรงนิ่งชะงักอย่างทรงพระอนุสรณ์บางอย่างขึ้นมาได้





          แท้ที่จริงแล้วเพลงทางเหนือเพลงนี้ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง





          “คุณบรรเลงพิณได้อย่างไพเราะมาก เราขอชื่นชม” เจ้าหญิงน้อยตรัสในที่สุดก่อนจะทรงทอดพระเนตรมองไปยังดวงตาสีเทาคู่โตของคนต่างชาติด้วยความสนเท่ห์ “แต่เราเคยได้ยินว่าสตรีทางเหนือที่มีความสามารถจะขับลำนำคลอกับเสียงพิณเสมอ ไม่ทราบว่าท่านสามารถแสดงให้เราชมได้ไหม”





          คำขอของเจ้าหญิงน้อยทำให้รอยยิ้มของครูสาวเจื่อนลงเล็กน้อย แรกทีเดียวพระนางทรงพระดำริว่าคำขอนั้นอาจจะยากเกินกว่าสามารถของกฤตยา แต่แล้วครูสาวก็กลับมาแย้มยิ้มได้ดังเดิม





          “หากใต้ฝ่าพระบาททรงไม่รังเกียจในฝีมือที่ต่ำต้อย เกล้ากระหม่อมฉันก็ยินดีเพคะ” นางกราบทูลอย่างนอบน้อม





          รอยแย้มสรวลอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนพระพักตร์งามหมดจดในจอมนาง เพราะแม้คำพูดนั้นจะถ่อมตนแต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นคล้ายกับประกาศความมั่นใจ





          “คุณกล่าวเกินไปแล้ว ได้โปรดแสดงเถอะค่ะ”





          บทเพลงก่อนหน้าถูกบรรเลงใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แม้แต่เด็กหนุ่มที่ไม่ใส่ใจในเรื่องของดนตรีชั้นสูงยังจับจ้องตาไม่กะพริบ





          ยาปนมองครูสอนมรรยาทของน้องสาวด้วยความสนใจ ระหว่างการเดินทางกับกองคาราวานครั้งล่าสุดเขาได้มีโอกาสพบกับคนทางเหนือคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาสีเทาเข้มเหมือนกันนาง





          แต่นั่นก็เพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเขา





          แววตาของกฤตยานั้นอ่อนโยนและแฝงด้วยความเศร้า ซึ่งต่างจากชายคนนั้นซึ่งมีแววตาดุกร้าวและมีอำนาจลึกลับ ซ้ำร้ายเขาคงไม่มีวันเชื่อหรอกว่ากุลสตรีอย่างนางจะกล้าต่อตีกับพวกโจรเช่นนั้น





          เปลือกตาเคลื่อนทับดวงเนตรสีเหล็กกล้า ขณะที่ภาพชายฝั่งทะเลสาบที่ค่อยๆ เลือนหายไปในม่านหมอกและหิมะปรากฏในความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน ในที่สุดริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยชาดสีแดงสดเผยอออกเอื้อนเอ่ยคำรองเพลงรักอันแสนหวานออกมา





          “สายลมเลื่อนเคลื่อนคล้อยจากขอบฝั่ง...”





          เจ้านางอุษาซึ่งทรงสดับเสียงของครูสาวถึงกับทรงขยับพระปฤษฎางค์เลื่อนออกจากพนักพิงของเก้าอี้พระที่นั่ง พระนางเคยได้ยินนักร้องมามากมายแต่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงของใครที่เป็นเอกลักษณ์และไพเราะจนชวนขนลุกมาก่อนขนาดนี้





...ยินเสียงดังสาดโครมถล่มหา



ฟองคลื่นกลืนลับหายในพริบตา



ดาษดาทรายหาดสีโศกเทา



ดวงจันทราประดับเด่นบนเวหน



เหนือสายชลเมฆฝนและภูเขา



เกษียรเข้ากระทบล่างข้างสำเภา



หัวเรือเสาโอนเอนเล่นแล่นตาม



ท่านอยู่ในนาวาวารีใหญ่



สุขหรือไม่เป็นอย่างไรข้าใคร่ถาม



ตัวน้องนี้เฝ้าคิดหาอยู่ทุกยาม



หวั่นภัยคามชีพม้วยกลางนที



วันเวลาล่วงเลยเพียรเปลี่ยนผ่าน



แม้ช้านานข้ายังรออยู่ตรงนี้



วานจันทร์เจ้าคืนเพ็ญบอกเขาซี



ว่านารีผู้นี้ยังเฝ้าคอย

                             









          ไม่มีคำพูดใดเลื่อนหลุดออกมาจากปากของผู้ชม เมื่อลำนำนั้นจบลง ผู้บรรเลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและวางพิณลง ก่อนจะสูดลมหายใจอย่างโล่งอก และนั่นทำให้จอมนางทรงสนใจนางอีกครั้ง





          เจ้าหญิงน้อยทรงปรบพระหัตถ์ แต่ครั้งนี้เหล่าข้าราชบริพารต่างไม่รอคอย ปรบมือพร้อมกับพระนางทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างประจักษ์ในฝีมือของสตรีต่างถิ่น โดยเฉพาะวาสินีที่ภาคภูมิใจในตัวครูเป็นพิเศษ





          กฤตยาถอนสายบัวถวายอีกครั้งและกล่าวขอบคุณกับทุกๆ คน





          “เยี่ยมที่สุด เยี่ยมมาก” อุษาตรัสชมอย่างจริงพระทัยเช่นเดียวกับรอยแย้มสรวลกว้างก่อนจะทรงหันไปทางพระสหายที่ยิ้มไม่หุบ “เห็นทีเธอต้องให้ฉันยืมตัวครูของเธอบ้างแล้วละวาสินี”





          พอได้ยินเช่นนั้นสาวน้อยก็รีบถอนสายบัวด้วยความยินดีอย่างเปิดเผยจนมารดาของนางต้องกระแอมเตือน





          ท่านผู้หญิงอารดาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนเบนความสนใจของทุกคนไปที่มื้ออาหารว่างที่เหล่าคนรับใช้ยกออกมาตั้งคอย





          ยาปนรีบเข้าไปใกล้ชิดอุษาทันที ต่างจากพลวัตที่ยังคงอยู่ที่เดิมและมองไปทางกฤตยา





          หลังจากเหล่าโจรป่าถูกจับกุม ผู้เดินทางมากับกองคาราวานทุกคนต่างถูกให้ปากคำทั้งสิ้น และกฤตยาเองก็เป็นคนหนึ่งที่เขาสอบสวน เขายอมรับว่าตกใจมากทีเดียวที่เห็นว่านางเป็นสตรีเมื่อปลดหมวกคลุมศีรษะออก





          กฤตยาแจ้งแก่เขาเป็นนางเป็นคนที่หนีมาจากสงครามทางเหนือเมื่อสิบกว่าปีก่อน และขอให้เขารีบปล่อยนางเพราะนางไม่ต้องการให้นายจ้างรู้เรื่องเข้าจนเลิกจ้างนางเป็นครู





          จริงอยู่ที่นางพูดความจริงหรืออาชีพของนาง แต่จะให้เขาไว้ใจผู้หญิงที่ใช้อาวุธเป็นและไม่ลังเลที่จะใช้มันในยามขับคันได้อย่างไร





          เจ้าของดวงตาสีเทาเข้มละสายตาจากจอมนางและจ้องตรงมาทางพลวัตจนทำให้เขาเกือบต้องละสายตาออกจากนาง





          สตรีต่างถิ่นทำเพียงยิ้มจางๆ และก้มหัวนิดๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่านางจำเขาได้เป็นอย่างดี ต่างจากเจ้ายาปนที่เผลอตัวหลงลืมเพราะติดบ่วงเสน่ห์แห่งจอมนาง





          พลวัตลูบนิ้วไปบนสันด้ามดาบประดับหินโมราอย่างครุ่นคิด





          อย่างไรเสียเขาจะต้องจับตานางเอาไว้







------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะทุกๆ คน หมาเหงาในเงาจันทร์เองค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณและขอโทษทุกคนมากๆ เลยนะคะที่ยังคงติดตามแม้หยุดอัพเดตไปนานมาก ตอนนี้กลับมาอัพเดตแล้วค่ะ ต้องขอบคุณกำลังใจจากหลายๆ คนในเอ็กซ์ทีน โดยเฉพาะคุณใบเขียวที่อ่านเพลินจนไฟติด (ฮา)



เนื่องจากไม่ได้แต่งนิยายนานมาก ภาษาอาจจะขัดๆ ไปบ้างก็ยอมรับผิดโดยดุษณีนะคะ



มาคุยกันเรื่องเนื้อเรื่องดีกว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่าวาสินีนี่จะนิสัยเหมือนใครนะ คำตอบก็คือสามพี่น้องนิสัยเสียเหมือนกันหมดค่ะ คือใจร้อน แต่ยาปนกับสารัชเหมือนกันมากไปจนเกลียดขี้หน้ากัน



ในที่สุดบทนี้ ป้า (อันเป็น nickname ที่หมาเหงาฯ ตั้งให้ด้วยความรัก) ก็กลับมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามตัวหลักบทนี้กลับเป็นเจ้านางอุษาไปเสียฉิบ ส่วนป้าจะเดินเมื่อไรนั้นติดตามต่อไปได้ในตอนหน้านะคะ (ตอนนี้ยาวและเน้นปูเรื่องอาจจะน่าเบื่อไปสักนิด)


***ต้องขอโทษผู้อ่านที่ติดตามผ่านbloggerด้วยนะคะที่อัพเดตตามหลังExteen

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่4



บทที่๔



          อากาศร้อนแรงยามฤดูร้อนแผดเผาร่างของยาปนจนเป็นสีแดงหลังจากขี่ม้ารอบตลาด เช้า กระทั่งเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเสียจนทำให้อาภรณ์หรูหรานั้นกลายเป็นสีเทาไร้ราคา


          ท่ามกลางผู้คนและเสียงอึกทึก ในที่แห่งนี้เขาไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขามีฐานะเพียงลูก หาบและหนึ่งในผู้คุ้มกันของกองคาราวาน


          คำว่าบ้านสำหรับคนส่วนใหญ่นั้นหมายถึงสถานที่ซึ่งพวกเขารู้สึกผ่อนคลายและ เป็นตัวของตัวเองที่สุด แต่มันไม่ใช่เลยสำหรับยาปนซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของขุนนางบรรดาศักดิ์


          การอบรมอย่างเข้มงวดกับการวางตัวที่ห่างเหินของมารดาหล่อหลอมให้เขาเกลียดที่ตัวเองเกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงที่แสนจะศารทะ


          ร้อนชะมัด... เด็กหนุ่มคิดก่อนสอดสายตาหาน้ำพุสาธารณะซึ่งเขาสามารถดับกระหายและล้างหน้าได้


          ในที่สุดเขาก็พบมันเข้าที่มุมหนึ่งใกล้กับร้านขายผลไม้ หนุ่มน้อยไม่รอช้ารีบต่อคิวซึ่งถดสั้นอย่างรวดเร็ว


          เขารีบวักน้ำดื่มและล้างหน้า สายน้ำเย็นจากทางน้ำใต้ดินซึ่งไหลจากยอดเขาทำให้เขารู้สึกสดชื่นราดกับเกิดใหม่


          “ถ้าจะมีอะไรดีเหมือนน้ำเย็นๆ กลางฤดูร้อนแบบนี้ก็แค่น้ำอุ่นในฤดูหนาวเท่านั้นแหละ” ชายชราซึ่งเป็นเจ้าของร้านผลไม้กล่าวกับเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะ


          ยาปนยิ้มรับและเขาคงจะหัวเราะตามไปแล้วหากไม่เห็นชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่หลังของพ่อเฒ่า


          ชายคนนั้นเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ด้วยหน้าตาหล่อเหลาจึงเด่นสะดุดตาจากคนเดินถนนธรรมดาคนอื่นๆ ทั้งยังเรียกสายตาชะมอดชะม้อยจากหญิงสาวอีกมากมาย


          แต่เพราะใบหน้าเดียวกันนี่แหละที่ทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มเลือนหายไปจนสิ้น ที่แท้ชายคนนั้นคือพลวัตนั่นเอง


          เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายมากกว่านี้ยาปนจึงเป็นฝ่ายเดินออกจากแถวและตรงเข้าไปหาเขาเอง


          พลวัตยิ้มกริ่มเมื่อเห็นเจ้าตัวยุ่งเดินตัดมาหาเขาแต่โดยดี วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของเขา เขาจึงแต่งตัวอย่างลำลองด้วยเสื้อผ้าฝ้ายเรียบไร้ลวดลาย แต่ด้วยบุคลิกที่งามสง่าเขาจึงยังคงความน่าเกรงขามพอๆ กับที่ยาปนเหมือนเด็กรับใช้ประจำตัวของคหบดี



          “คนอย่างท่านหยุดพักเป็นด้วยหรือพี่ชาย” เด็กหนุ่มมักเรียกเขาว่าพี่ชายเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพี่น้องจริงๆ ก็ตาม




         พลวัตหัวเราะขันกับคำถามที่ถูกถามทั้งๆ ที่คนที่เอ่ยมันออกมารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แม้จะมีความกริยามรรยาทที่ดีชนิดซึมลึกเป็นความเคยชินแต่เขาก็ดูผ่อนคลายและยิ้มแย้มต่างจากบุคลิกเย็นชาเมื่อเข้าเวรมาก



          “พูดอย่างกับเจ้าไม่รู้จักข้าเลยนะ” ชายหนุ่มกล่าว



         คราวนี้ยาปนไม่ได้แสดงสีหน้าปั่นปึงกับวาจายอกย้อนของอีกฝ่ายเหมือนกับคราวก่อน อันที่จริงเขายิ้มเขินอย่างกระอักกระอวนด้วยซ้ำ


         “ท่านไม่ได้บอกท่านแม่เกี่ยวกับข้า ข้าเสียใจที่พูดจาไม่ดีกับท่าน”


         คำขอโทษหลุดออกจากปากของยาปนอย่างง่ายดาย แม้เขาเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนแต่เขาก็เป็นคนรู้จักคิดพอที่จะยอมรับผิดด้วยตัวเอง และพลวัตเองก็เป็นหนึ่งในญาติเพียงสามคนที่เขาพอจะสนิทสนมด้วย โดยสองในสามนั่นก็คือน้องสาวกับลุงของเขานั่นเอง



         ชายหนุ่มซึ่งมีอายุมากกว่าถอนหายใจ เขาเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะหากเขาไม่เคยมีเรื่องหมางใจกับเด็กหนุ่มเมื่อสองปีก่อน เขาก็คงยอมฟังตนแต่โดยดี



          ยาปนมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าพลวัตกำลังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตนเดินทางร่อนเร่ออกจากนครหลวง แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น



          “แล้วเจ้าจำอะไรต่อไปหลังจากนี้ละ”




           ก่อนที่ยาปนจะทันเอื้อนเอ่ยอะไรขึ้นมา พลวัตก็เป็นฝ่ายถามยาปนเสียเองและคำถามนั้นก็ทำให้เขารู้เสียหน้าและหน้าเสียไปพร้อมๆ กัน




           “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย หาผู้ที่ถามเป็นคนอื่นแล้วเขาคงโต้กลับไปแล้วว่าให้ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองเถอะ แต่เขารู้ดีว่าพลวัตเป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงจึงไม่กลัวที่จะบอกความคิดที่ค่อนข้างจะน่าสมเพชของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้




            แม้เขาจะท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นเป็นเวลากว่าสองปีแต่ในใจของเขากลับว่างเปล่า จนถึงบัดนี้เขาก็ยังตามหาความฝันของตัวเองอยู่ และเวลาดังกล่าวก็จวนจะหมดแล้ว เพราะวัยแห่งการลงหลักปักฐานกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ




            พี่ชาย ส่ายหน้าอย่างระอา หากแต่ไม่ได้ระอาในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย ต่างจากท่านผู้หญิงซึ่งอบรมสั่งสอนลูกชายคนโตตามอุดมคติและความคิดของตนเอง พลวัตไม่เคยใช้ความคิดเช่นนั้นมาตัดสินยาปนเลยสักครั้ง และด้วยเหตุนี้เขาเข้าใจในตัวของยาปนดีกว่ามารดาของเขาเสียอีก




           “ถ้าเจ้าคิดอะไรไม่ออก เจ้าก็ควรแสวงหาเพิ่มเติมด้วยการเรียน” เขาบอกแก่ผู้ที่เขาเอ็นดูเสมือนน้องชาย “เจ้าเป็นคนฉลาด ความรู้จะทำให้โลกทัศน์ของเจ้ากว้างขึ้น”




            คำพูดของเขาทำให้ยาปนซึ่งไม่ชอบให้ผู้ใดมาบังคับหรือวางเส้นทางให้รู้สึกขุ่นเคืองแต่ก็ไม่อาจคัดค้านเพราะมันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งพลวัตเพียงเสนอแนะให้เท่านั้น




            “ท่านพูดราวกับไม่ใช่ทหาร” เขาอดหยอกอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้



            พลวัตยิ้ม “ที่เจ้าพูดก็ถูกเพราะตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนเดินถนนคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ราชการ”




             เมื่อการสนทนาจบลงพวกเขาก็สังเกตถึเสียงอึกทึกของแตรและเครื่องดนตรีดังขึ้นบริเวณปากทางเข้าตลาด ชาวบ้านหลายคนต่างผละจากแผงสินค้าตรงไปที่นั่นเป็นทางเดียว เช่นเดียวกับเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่พากันยืนชะโงกหน้ามองด้วยความสนใจ




             สีหน้าของพลวัตเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เขารู้แล้วว่าใครคือศูนย์กลางความสนใจนั้นและเขาก็ไม่ค่อยจะยินดีนัก




            กลีบดอกไม้สดถูกโปรยปรายลงมาจากหญิงสาวที่เดินนำขบวน บ้างก็ตกสู่พื้นดินที่คลุ้งไปด้วยฝุ่น บ้างก็ติดตามเสื้อผ้าหน้าผมของผู้คนซึ่งแซ่ซ้องสรรเสริญเกียรติคุณของสาวงามซึ่งนั่งหลังตรงอยู่บนหลังอาชาสีน้ำตาลพ่วงพี มันถูกประดับประดาด้วยแพรพรรณและดอกไม้ฤดูร้อนสีสันสดใส รวมถึงดอกกุหลาบซึ่งส่งกลิ่นหอมหวานทุกที่ที่พ้นผ่าน




           แม้มือเรียวบางจะโบกทักทายแก่ประชาชนทั้งหลาย แต่ดวงตาสีดำขลับคู่โตของสตรีผู้สูงศักดิ์กลับไม่หยุดสบสายตาของผู้ใด มันกวาดมองไปตามที่ต่างๆ ไม่ใช่เพื่อทักทายทุกคนแต่เพื่อค้นหาคนๆ หนึ่ง




           รอยแย้มสรวลของเจ้าหญิงน้อยกว้างอย่างยินดีในที่สุดเมื่อพบกับชายหนุ่มซึ่งพระองค์ทรงควานหา





           พลวัตโค้งคำนับเพื่อถวายบังคมอย่างสง่างามเมื่อสังเกตถึงสายพระเนตรในโฉมงาม โดยซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ เขาไม่เห็นด้วยกับการเสด็จออกของเจ้านางเลยสักนิด จริงอยู่ที่มันเป็นการเอาใจราษฎรทั้งหลายแต่ช่วงเวลาก่อนการปราบดาภิเษกเป็นช่วงเวลาที่แสนอันตราย พระนางควรจะระวังพระองค์เพื่อไม่ทำให้ข้าราชสำนักต้องเป็นกังวลเช่นนี้




           พระเนตรในราชนารีคลอด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นกริยาห่างเหินของอีกฝ่ายจึงต้องกล้ำกลืนความรู้สึกและโปรยยิ้มให้ยาปนแทน




           ต้องขอบคุณการอบรมมรรยาทตามวิถีศารทะของมารดาที่ทำให้เด็กหนุ่มสามารถโค้งคำนับได้อย่างสง่างามแม้ว่าใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นส่ำ เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเงอะงะงุ่มง่ามตลอดเวลาที่นางมองมา



           เพื่อให้ใจของตนสงบลงยาปนจึงหันไปมองทางอื่นแทน



           แสงอาทิตย์ยามสายนั้นทวีความรุนแรงมากยิ่งกว่าแต่ก่อน แต่ประชาชนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมพระบารมีแห่งกษัตรีย์เรื่อยๆ และท่ามกลางผู้คนมากมายนั้นเองที่แสงแผดจ้านั้นกระทบกับโลหะวาบวับชิ้นหนึ่ง



           มันคือมีดซึ่งมีใบมีดปลายหยัก เขาไม่คิดว่าพ่อค้าทั่วไปจะใช้มันหั่นเนื้อหรือชำแหละปลาแน่



           ไวเท่าความคิดและหัวใจที่หล่นวูบด้วยความกลัว หนุ่มน้อยรีบสะกิดพลวัตให้มองตาม คิ้วของพี่ชายขมวดแน่น แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าเขาจึงรีบจับบ่าให้อีกฝ่ายนิ่งแทนที่จะรีบจู่โจม



           หากนี่คือการลอบสังหารเขาจะต้องจับกุมมันผู้นั้นโดยไม่ให้มีอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด



           “เจ้าไปทางซ้าย ข้าจะไปข้างหน้าเอง” เขากระซิบกับยาปนเพราะยาปนเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้มากที่สุดในตอนนี้ อีกทั้งเด็กหนุ่มเองก็มีฝีมือการรณรงค์พอสมควรด้วย
ยาปนไม่พูดอะไรนอกจากทำตามคำสั่งนั้นโดยไหลไปกับฝูงชนอย่างแนบเนียน



            ราชองครักษ์หนุ่มฉวยด้ามดาบสั้นที่ซ่อนในเสื้อคลุมก่อนค่อยๆ ย่างสามขุมไปยังชายผู้ถือมีด สายตาของมันผู้นั้นจ้องเขม็งยังเจ้านางอุษาเพียงผู้เดียวทำให้มันไม่สังเกตเห็นเขา



             เคราะห์ยังดี เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากสัมผัสกับหัตถาแห่งว่าที่ราชินีและด้วยเหตุนี้ผู้ต้องสงสัยจึงมิอาจเข้าหาพระนางได้ดั่งใจหมายเสียที



            ยาปนก้าวอ้อมไปข้างหลังมันอย่างช้าๆ ฝูงชนมากมายหาได้เป็นแค่อุปสรรคของคนผู้นั้นหากยังเป็นอุปสรรคของเด็กหนุ่มอีกด้วย



            ขอให้เด็กพวกนั้นยืนอยู่นานๆเถอะ... เขาคิดขณะเบียดเสียดผู้คนเข้าไปอย่างทุลักทุเล




            อีกนิดเดียว เพียงแค่ผลักลุงด้านหน้าไปให้พ้นทางเขาก็จะคว้าตัวผู้ต้องสงสัยคนนั้นไว้ได้แล้ว




            แม้คำภาวนาของยาปนจะเป็นผลแต่เขาก็ช่างโชคไม่ดีเลยเพราะฝูงชนที่แออัดเข้ามาผลักให้ชายแปลกหน้ารายนั้นเซล้มคะมำไปด้านซ้ายและเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็สบตาเข้ากับพลวัตโดยบังเอิญ




            สีสันทั้งมวลถูกพรากไปจากใบหน้าของยาปน เขาอดหวังไม่ได้ว่าเจ้าคนร้ายนั่นจะคิดหนีจากไป แต่ความหวังนั้นก็ถูกทำลายลงในพริบตา เมื่อชายแปลกหน้าคนนั้นชัดมีดขึ้นมา




           “แกมันตัวปลอม ตายเสียเถอะนางกะหรี่!” เขาอ้าปากประกาศอย่างโกรธแค้น




           เสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนซึ่งกลายเป็นพยานในเหตุร้ายก่อให้เกิดความโกลาหน ผู้คนที่อยู่ใกล้กับชายคนนั้นพยายามตีตนออกมาในขณะราษฎรที่อยู่ไกลออกไปกลับยิ่งเบียดเสียดเพื่อหวังเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น




           การจลาจลได้เกิดขึ้นแล้ว




           คนแปลกหน้าฉวยโอกาศนี้รีบผลักผู้คนออกไปให้พ้นทางเพื่อจะได้จัดการกับเป้าหมายซึ่งขยับไปไหนไม่ได้ราวกับนกที่ถูกนกที่ถูกขัง




           แต่ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้น




           นางสนองพระโอษฐ์ผู้ติดตามเสด็จส่งเสียงกรีดร้องลั่นเมื่อมีดถูกแทงผ่านอากาศเฉพาะพระพักตร์แห่งจอมนาง ทว่าสิ่งที่มีดได้สัมผัสกลับไม่ใช่เนื้อหนังที่ห่อหุ้มกระดูกและอวัยวะภายในของมนุนย์




           แต่กลับเป็นเนื้อโลหะเย็นชืด




           ยาปนรีบกระแทกมือของมือสังหาร จนเขาร้องด้วยความเจ็บปวดและปล่อยมีดหล่นลงบนพื้น เหล่าฝูงชนที่รุมล้อมต่างรุมเข้าคุมตัวชายที่น่าสงสารทันที




           ไม่เคยมีการจับกุมในที่ชุมชนใดที่ไม่มีการรุมประชาทัณฑ์ มือสังหารคนนี้ก็ไม่ต่างจากผู้ก่อเหตุคนอื่น เขาถูกทำร้ายร่างกายจนยับเยินทันที




          ชายคนนั้นคงต้องสิ้นใจกลางสหบาทาของคนแปลกหน้าแล้วหากไม่ใช่เพราะทหารหนุ่มนามพลวัติไม่เข้ามาห้ามไว้




          “พอได้แล้ว!” เขาตะโกนขณะกางมือไม่ให้มีใครเข้าไปทำร้ายเหยื่ออีก แม้เหยื่อคนนั้นจะเป็นผู้ร้ายก็ตาม แต่เขาก็ไม่ควรถูกกระทำโดยมนุษย์สันดานหยาบที่ชอบเห็นความวินาศย่อยยับของผู้อื่นเป็นเรื่องบันเทิงส่วนตัว




          ช่างน่าขันที่คนเหล่านี้มัวแต่เงื้อง่าราคาแพงไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเมื่อชายคนนี้จะพุ่งทำร้ายเจ้านาง แต่กลับกล้าบ้าเลือดใช้กำลังกับเขาเมื่อเห็นว่าเขากลายเป็นคนไม่มีทางสู้




          เลวสิ้นดี





          เมื่อเห็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญและคุณธรรมของพลวัต เด็กหนุ่มก็หน้าแดงจนเปลี่ยนเป็นสีจัด โดยปกติยาปนเป็นคนที่มีเมตตาอยู่บ้าง เขาต้องเข้าไปไกล่เกลี่ยช่วยเหลือไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้เขากลับวางเฉย เพราะคิดว่ามันสาสมกับการกระทำของเหยื่อที่คิดจะสังหารเจ้าหญิงผู้แสนดี จนพลวัตซึ่งอยู่ไกลกว่าต้องบุกเข้ามาด้วยตนเอง





          ยาปนกัดฟัน ตัดสินใจเก็บความละอายใจเอาไว้ ก้าวเข้าไปเคียงข้างพี่ชายและตะโกนเช่นกัน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”




          อนิจจาคำพูดและการกระทำของเขานั้นไม่มีค่าอะไรเลย ชายสองคนถึงกับจะทำร้ายเขาด้วยซ้ำฐานเข้ามาขัดขวาง




          ทหารราชองครักษ์ซึ่งเคยคุ้นกับพลวัตดีต่างก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเขาจากคนแปลกหน้า




          เจ้านางอุษากำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเหล่าบุรุษกำลังถูกรุมทำร้าย แม้ยาปนจะอายุน้อยที่สุด แต่ความสนใจทั้งหมดของนางมุ่งตรงไปยังพลวัตเพียงผู้เดียว แน่นอนว่าฝีมือระดับราชองครักษ์ทำให้ชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับพลวัตได้ แต่แม้จะมีฝีมือเพียงใดเขากับคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนก็ไม่มีทางต่อสู้กับฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังโกรธแค้นและไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากฆ่าเจ้าอาชญากรตรงหน้าให้ตายคามือ



          นางจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้




           พระหัตถ์เรียวงามแห่งว่าที่ราชินีกระชากแตรจากนักดนตรีก่อนทรงเป่าลบผ่านลิ้นของมันเต็มแรง ส่งเสียงดังกระวานชวนหนวกหูไปทั่ว ประชาชนทุกคนเริ่มรู้สึกตัวจากความบ้าคลั่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าผู้ที่เป่าแตรคือราชนารีผู้เป็นความหวังเดียวแห่งศารทประเทศ



           “ฟังก่อนเถิดพวกท่านทั้งหลาย” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลผ่อนคลายทุกคนจากความตึงเครียด แม้นางจะถูกยกเป็นหุ่นเชิดเพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างราบรื่นแต่หุ่นเชิดมนุษย์ก็ไม่ใช่เพียงหุ่นเชิดสวยงามไร้ประโยชน์ นางได้รับฝึกปรือให้กลายเป็นนักพูดที่ดี



           “เราขอขอบคุณทุกท่านมากที่โกรธแค้นแทนเรา แต่นักโทษคนนี้เป็นนักโทษที่จะต้องนำตัวไปสอบสวน เราจึงร้องขอพวกท่านให้ละเว้นเขาเพื่อที่เขาจะได้ทำตามระบบที่ยุติธรรมของพวกเราชาวศารทะ”



           วาจานุ่มนวลและคำพูดแบบคนรักชาติทำให้ความหงุดหงิดและรู้สึกผิดของทุกคนเจือจางลง ในไม่ช้าพวกเขาก็คล้อยตามโฉมงามจนหมดสิ้น



          “พระราชินีทรงพระเจริญ”



          เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่จะกระจายเป็นวงกว้าง เปลี่ยนจากเสียงเพียงเสียงเดียวกลายเป็นเสียงกระหื่มของคนนับร้อย



          ทั้งยาปนและพลวัตต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนหันไปผงกศีรษะขอบพระทัยจอมนางซึ่งไม่อาจมองมาทางพวกเขาเนื่องจากทรงกำลังแย้มสรวลและโบกพระหัตถ์แก่ประชาชนอยู่





---***~~ *** ~~***---





          “เสื้อเจ้าขาดล่ะ”





          ยาปนซึ่งจูงม้าเดินก้มลงแขนเสื้อบริเวณข้อศอกซ้ายซึ่งปริขาดตามคำเตือนก่อนยักไหล่



          “ช่างมันเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้ชอบมันนัก” เขากล่าวอย่างไม่แยแสก่อนจะสำรวจดูอีกทีอย่างใช้ความคิด “แต่บางทีมันอาจดูดีขึ้นถ้าถูกสังคายนาใหม่”



          ในช่วงเวลาแห่งการสรรเสริญนั้นเองเป็นช่วงเวลาเดียวที่เหล่าทหารลากตัวนักโทษของพวกเขาออกมา พวกเขาทั้งสองคนกับทหารราชองครักษ์อีกนายจึงถือโอกาศหลบหลีกออกมาเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาคุมขังไว้ที่ป้อม



          พลวัตซึ่งอยู่บนหลังม้าอีกตัวยิ้มขันแต่เป็นยิ้มที่อ่อนแรง เขาทำงานหนักมาหลายวันติดกันและวันหยุดของเขาก็ดันถูกทำลายด้วยเรื่องการลอบปลงพระชนม์นี่อีก และด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพนี้เองที่ทำให้เขาไต่สวนผู้ต้องหาแค่ในขั้นเบื้องต้นและกลับออกมาทันที



           แต่ยาปนก็เอ่ยปากชวนเขาดื่มน้ำชาจนได้ ครั้นจะปฏิเสธก็ทำไม่ลงเพราะไม่ได้พบกันนานตั้งหลายปี



           ‘มาเถอะน่ายายวาสินีต้องอยากเจอท่านแน่’



           ยิ่งไปกว่านั้นยาปนยังลากเอาน้องสาวของตนมาบีบเขาอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเอ็นดูนางเพียงใด เจ้าเล่ห์เสียจริง



           แสงแดดยามบ่ายทำให้เสื้อของทั้งคู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฤดูหนาวที่ผ่านมานั้นแสนยาวนาน แต่ฤดูใบไม้ผลิกลับสั้น เพราะไม่ทันไรอากาศก็ร้อนอบอ้าวทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าสู่เดือนมิถุนายนได้ไม่นาน



           เคราะห์ดีที่บ้านของยาปนตั้งอยู่ในถนนหลวงซึ่งถูกขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งร่มเงาของมันช่วยบรรเทาความร้อนจากแสงแดดให้เบาบางลงบ้าง



           ไม่นานนัก ราวสิบนาที พวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านของเด็กหนุ่มในที่สุด พวกเขาจึงกระโดดลงจากหลังม้าและจูงมันเข้าไปในบ้าน



           สายลมในยามบ่ายกร่ำกรายเข้ามาสวนอย่างรวยรินคล้ายกับคนหายใจลำบาก แต่ก็ยังดีกว่านั่งอุดอู้อยู่ในบ้านที่ปิดตาข่ายกันแมลง เหล่าคนรับใช้จึงออกมานั่งบริเวณด้านนอกกันหมด พวกเขารีบยืนขึ้นราวกับถูกไฟช็อตทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม



           เด็กสาวคนที่เดินสวนเขาเมื่อเช้าก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาใสราวกับลูกแก้วเพราะอาบด้วยน้ำตาที่เตรียมไหลออกมาได้ทุกเมื่อ



           “ยะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านเจ้าค่ะนายท่าน” นางกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทาก่อนจะใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อสังเกตคนคุ้นเคยอย่างพลวัต



           ยาปนเบ้หน้า นางต้องถูกพ่อเลี้ยงของตนจับอบรมเสียใหม่แน่จึงได้กลัวขนาดนี้ พ่อเลี้ยงของเขามักจะเป็นคนเจียมตัวเสมอแถมยังให้ความสำคัญกับระบบขุนนางจนเกินไปจนเขารู้สึกรำคาญ



          “เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก “ตอนนี้มีใครอยู่ที่บ้านบ้างล่ะ”



          “มีแต่คุณหนูเจ้าค่ะ”



           เด็กหนุ่มคงถามต่อถึงที่อยู่ของนางแล้วหากไม่ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วมาเสียก่อน มันดังแว่วมาจากบริเวณด้านหลังบ้าน



           ยาปนเดินนำญาติของเขาไปตามทิศทางของเสียงก็พบว่าน้องสาวของตนกำลังซักซ้อมพินมาลามาก่อนและนั่นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเพราะเสียงของพิณนั้นดีขึ้นกว่ายามเมื่อนางซักซ้อมในตอนเย็นเสียอีก



           และเมื่อเพลงจบลงเด็กสาวก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มของสองบุรุษจึงวางพิณลงข้างกายและลุกขึ้นโผ่กอดพี่ชายทั้งสองแน่น



           “เดี๋ยวพี่ก็หายใจไม่ออกหรอก” ยาปนบ่นอู้อี้เมื่อวาสินีคลายอ้อมกอด



           เด็กสาวทำหน้ากระเง้ากระงอดตัดพ้อใส่พี่ใหญ่ “พี่ได้เที่ยวเตร่ พี่ก็พูดได้สิ”



           รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเมื่อหันไปเจรจากับพลวัตบ้าง



           “เป็นอย่างไงบ้างคะ หนูเล่นพิณเพราะขึ้นหรือเปล่า”



           “เก่งมากเลยจ้ะวาสินี” ราชองครักษ์หนุ่มชมเพราะต้องการให้กำลังใจ เป็นเหตุให้พี่ชายตัวจริงทำทางโก่งคอแซวด้วยความเลียน



          “อย่าไปใส่ใจเขาเลยค่ะพี่พลวัต เพราะปากเป็นอย่างนี้ถึงไม่เคยจีบใครติด”



           คำพูดของน้องสาวทำให้ยาปนรู้สึกเจ็บจี้ดนิดๆ แต่ก็คร้านจะเถียงด้วย จึงถือโอกาสหลบเข้าไปในบ้านสักครู่



          “ดี งั้นข้าขอตัวไปหาสำรับมาตั้งก่อนล่ะ คุยกันสนุกนักก็คุยกันไปเถอะ”



          วาสินีหัวเราะร่าก่อนกระซิบกับพลวัตเมื่อเจ้าตัวแสบจากไปลับตา

          พลวัตยิ้มจางๆ ชีวิตของเด็กสาวอย่างวาสินีไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบเลย ยิ่งเป็นลูกสาว แม่ของยาปนก็ยิ่งไม่ต้องการให้นางออกนอกลู่นอกทางจนเสื่อมเสีย แม้จะไม่ได้กักขังหรือเห็นว่านางเป็นสิ่งของ แต่วาสินีก็ไม่ได้ออกไปไหนโดยง่ายเว้นแต่ตามเสด็จซี่งเป็นภาระหน้าที่ที่นางเต็มใจรับ



          “เล่นเอาพิณมาเล่นนอกบ้านแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรพิเศษใช่ไหม” เขาถาม



          วาสินียิ้มกว้าง เมื่อรอให้พลวัตถามมันออกมาอยู่แล้ว นางนับถือเขาเหมือนพี่ชายอีกคนหนึ่งซึ่งต่างจากยาปนที่เป็นพี่ชายประเภทที่ใจดีแต่ชอบทำอะไรตามใจ พลวัตนั้นเป็นพี่ชายที่สุขุมและเข้าใจนาง



          “ท่านแม่จ้างครูสอนมรรยาทคนใหม่ให้ข้าล่ะ”



          ปกติประโยคเช่นนี้มักจะถูกบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่คราวนี้มันกลับถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น บางทีครูคนนี้คงแตกต่างจากแม่แก่เข้มงวดที่ท่านผู้หญิงเคยจ้าง



          เด็กสาวยิ้มแก้มปริเมื่อนึกถึงครูคนใหม่ “นางเก่งมากเลยนะ นางเล่าเรื่องให้ข้าฟังตั้งเยอะแถมยังดีดพิณได้ไพเราะมากอีกด้วย พิณตัวนี้ก็เหมือนกันนางบอกว่าสายพิณของข้าขึงไม่ดีแล้วก็ปรับสายของมันให้ข้าด้วยนะ ทีนี้ล่ะข้าจะหมั่นฝึกซ้อมจนไปเล่นให้เจ้านางในวันฟังเลย”



          “เจ้าชอบนางงั้นสิ” เขาถาม



         ทว่าเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นวาสินีกลับดูหน้าเสียและลังเลเล็กน้อย



          “จะว่าไปตอนแรกหนูก็ไม่ชอบนางนักหรอก ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้“ วาสินีพูด “แต่นางสอนสนุกมากเลยข้าก็เลยเปลี่ยนใจกลับมาชอบนาง แต่จะว่าข้าเป็นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้หรอกนะ นางดูน่ากลัวจริงๆ นี่”



         พลวัตหัวเราะร่าอีกครั้งแม้เธอจะชอบอ้อนเมื่ออยู่กับเขาหรือยาปนแต่โดยเนื้อแท้แล้วนางไม่กลัวอะไรง่ายๆ



         สาวน้อยทำหน้างอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อเรื่องที่นางพูดซ้ำยังคิดว่าเป็นเรื่องตลก



          “โธ่ นี่หนูพูดจริงนะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากขึ้น “ถ้าพี่เป็นหนูพี่ก็ต้องตกใจบ้างล่ะ



          “ตาสีเทาคู่นั้นน่ากลัวจะตายไป แค่พูดหนูก็ขนลุกแล้ว”



เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่3





บทที่๓




          แสงอาทิตย์ยามสายส่องกระทบดวงตาสีดำอย่างชาวศารทะให้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับสีของโต๊ะไม้ขัดมันอย่างดีซึ่งเจ้าของดวงตากำลังใช้ปลายนิ้วเคาะเป็นจังหวะด้วยความเบื่อหน่าย


          ยาปนมองออกไปยังนอกหน้าต่างซึ่งเบื้องนอกเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกแสนสับสนวุ่นวายของชาวนครหลวง ผู้คนจำนวนมากมายซึ่งเดินสวนไปมาบนถนนปูกรวดซึ่งเป็นของใหม่ล้วนมีผมและตาสีดำทั้งสิ้น ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับแตกต่างกันที่เสื้อผ้าและสำเนียงการพูดซึ่งบ่งบอกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม


          การเถลิงอำนาจของเจ้านางอุษานั้นไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะสำคัญของการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์เท่านั้น หากหมายถึงสถานะทางการเมืองที่มั่นคงและโอกาสทางการค้า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างระหองระแหงที่ยาวนานถึงขั้นแตกหักเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะทำให้พ่อค้ารายใหญ่อย่างชาวมหาทวีปและผู้ที่อาศัยไกลออกไปในโพ้นทะเลยังไม่คงเข้ามาค้าขายในประเทศ แต่แคว้นที่เล็กกว่าอย่างวสันตประเทศและวรรษประเทศต่างรีบคว้าโอกาสในการเป็นผู้ทำการค้าเจ้าแรกๆ อย่างไม่รอช้า เพราะนอกจากพวกเขาต้องการคู่ค้าเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว พวกเขายังต้องการขออภิสิทธิ์ในการผูกขาดสินค้าบางรายการของศารทะอีกด้วย


           แต่สิ่งเหล่านี้หาได้เป็นสิ่งที่ยาปนสนใจแต่อย่างใด สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดนั่นก็คือความรู้สึกของเขาเอง เขาไม่อยากกลับมาที่นี่ ที่ซึ่งเขาตัดสินใจว่าจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะรออยู่ด้านนอกกำแพงเมืองเสมอแต่ดูเหมือนพวกโจรภูเขานั่นจะทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น


          เสียงเข็มของนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่มุมห้องดังเป็นจังหวะอย่างน่ารำคาญ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ส่งเสียงดังจนเกินไป เพียงแต่มันถูกตั้งในห้องเขียนหนังสือ ซึ่งบัดนี้มีเพียงบุคคลแค่สองคนกำลังนั่งอยู่ ที่ฝั่งตรงข้ามของยาปน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังลากปากกาบนกระดาษหนังเงียบๆ เขาเป็นตำรวจหลวงซึ่งทำหน้าที่สอบปากคำเด็กหนุ่ม แต่ก็ดูไม่เหมือนกับตำรวจสักนิด เพราะเขามีใบหน้ากรานราวกับไม้แกะสลักหยาบๆ ซึ่งดูข่มขวัญชาวบ้านมากกว่าจะสร้างความอุ่นใจในความแข็งแกร่งสมฐานะ


          ยาปนไม่เกรงกลัวบุคลิกของอีกฝ่ายเลย เด็กหนุ่มเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิด มันเป็นนิสัยแย่ๆ ที่เขาไม่รู้ตัว เขาชอบทำแบบนี้ทุกครั้งที่ถูกกวนโมโห ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เขาใจร้อนเสมอและด้วยวัยของเขา มันทำให้ยิ่งแย่ลง


          ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถโทษเป็นความผิดของเขา


          หลังจากช่วยเด็กหญิงมาได้แล้วและพวกเขาก็จับตัวโจรสองสามคนที่บาดเจ็บได้ กองทหารก็แจ้งแก่พวกเขาว่าทุกคนจะต้องถูกสอบปากคำในนครหลวงและยืนยันว่าจะติดตามอารักขาทุกคนจนกว่าจะถึงที่หมาย และนั่นหมายถึงความล่าช้ากว่ากำหนดการไปถึงสองวันเต็ม


          ตั้งสองวันเต็ม ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องหยุ่มหยิ่มเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของทุกคน แต่ลูกค้าเหล่านั้นบางคนก็มีธุระที่จะต้องจัดการอย่างเร่งด่วนในเมืองหลวง และสิ่งนี้เองที่สร้างความเดือดร้อนให้กับลุงของเขาและลูกจ้างทุกคนที่ไม่อาจมาถึงที่หมายได้ตามสัญญา


          และด้วยเหตุนี้เอง ผู้โดยสารมากับกองคาราวานเป็นคนกลุ่มแรกที่ถูกสอบสวน ต่างจากเหล่าลูกจ้างซึ่งจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น


          การให้การของยาปนนั้นจบสิ้นไปแล้ว แต่นายตำรวจผู้นี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากปล่อยให้เขาออกไป ยาปนจึงต้องทนนิ่งเงียบและทำตัวดีซึ่งความอดทนที่มีอยู่ต่ำนั้นทำให้เขาอยู่นิ่งไม่ได้นาน


          เสียงเคาะประตูดังขึ้นในที่สุด นายตำรวจซึ่งกำลังเขียนบันทึกอย่างใจเย็นราวกับไม่ยี่หระเสียงเคาะโต๊ะน่ารำคาญวางปากกาและตรงไปยังประตู


          เสียงเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะหายวับไปทันทีที่บานประตูหนาหนักนั้นเปิดออกชายหนุ่มรูปงามนามพลวัตปรากฏที่อีกด้านหนึ่งของประตู ในยามนี้เขาหล่อเหลาและงามสง่ากว่าตอนที่อยู่บนภูเขามาก เนื่องจากเขาถอดชุดคลุมสีเทาเข้มและเปื้อนฝุ่นเนื่องจากขี่ม้าออก เผยให้เห็นเครื่องแบบทหารที่ประดับประดาด้วยเหรียญและกระดุมเงินวาววับ บ่งบอกถึงความสำคัญเหนือทหารเลวทั่วไป


          เจ้าขี้อวด... ยาปนคิดด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะยกเท้าซึ่งสวมรองเท้าบู้ตซึ่งเต็มไปด้วยโคลนแห้งกรังขึ้นพาดบนโต๊ะอย่างจงใจ


          ตำรวจหนุ่มถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจแต่ถูกสายตาของทหารหนุ่มยั้งไว้ เขาจึงยอมเดินออกไป และทิ้งทั้งสองบุรุษให้เผชิญหน้ากันตามลำพัง


         พลวัตเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขาจัดการลากเก้าอี้นวมซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งมาข้างๆ เด็กหนุ่มแล้วนั่งลง เขาไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย


         “คิดว่าจะทำแบบนี้ต่อไปอีกเมื่อไร”

         ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกจากปากของเด็กหนุ่ม นอกจากแววตาท้าทายและดูแคลน

         ชายหนุ่มรูปงามส่ายหน้าก่อนถอนหายใจ อย่างไรเสียคนที่มีชนักติดหลังอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิไปว่ากล่าวยาปน

          ใช่ มันเป็นความผิดของเขาเองที่ทำตาม สัญญา นั้นไม่ได้


          ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงขยับเก้าอี้และนาฬิกาข้างฝาที่ดังเป็นจังหวะ แต่ความเงียบแสนน่าอึดอัดราวกับหมอกเบาบางและชื้นแฉะที่พัดลงสู่ที่ต่ำในยามเช้าก็ทำให้ยาปนทนไม่ได้


          “ข้าไปได้หรือยัง” เด็กหนุ่มยอมเอ่ยปากในที่สุด “ต้องรีบไปขอโทษลูกค้าก็เพราะพวกท่านไม่ใช่หรือ”


           คำยอกย้อนนั้นทำให้ดวงตาคมกร้าวของพลวัตเงยขึ้นมอง


          “ไม่ต้องห่วงหรอกตำรวจหลวงปล่อยทุกคนกลับไปหมดแล้ว” เขาตอบ


          เมื่อได้ยินเช่นนั้นยาปนก็สบถสั้นๆ เขาไม่เพียงถูกแยกจากลุงซึ่งเป็นข้ออ้างสุดท้ายในการไม่ไปข้องแวะกับครอบครัวเท่านั้น แต่เจ้าคนต่างชาติพิลึกซึ่งเขาต้องการรีดข้อมูลยังถูกกันออกไปด้วย


          ลุงเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงใจอ่อนยอมตามไอ้บ้านี่ก็ไม่รู้


          “แล้วท่านจุ้นจ้านไปถึงขั้นไหนกันล่ะ พี่ชาย” ยาปนถามด้วยน้ำเสียงแดกดัน “ท่านบอกแม่ของข้าหรือยังว่าข้ากลับมาถึงแล้ว”


          คราวนี้พลวัตจำเป็นต้องปกป้องตัวเองบ้างแล้วเขามองอีกฝ่ายตาเขียว


          “ข้าไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น” เขากล่าวเสียงกร้าวซึ่งบ่งบอกถึงความโกรธ “แต่ความจริงก็คือความจริง เจ้าหนีครอบครัวของตัวเองไปไม่ได้หรอกนะ”


          ยาปนเผยอปากหมายโต้ตอบอย่างคนปากไวแต่ก็ต้องหุบปากเมื่อเสียงเคาะประตูดังแทรกอีกครั้ง


           ทหารหนุ่มเดินไปเปิดประตู ยาปนทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับเหลือบมองผู้มาเยือนด้วยหางตา คนผู้นั้นเป็นนายทหารเช่นเดียวกับพลวัตแต่ก็เป็นเพียงพลทหารปลายแถวซึ่งอายุน้อยพอๆ กับยาปนเท่านั้น


           เด็กหนุ่มแปลกหน้ากล่าวบางอย่างกับพลวัตซึ่งชะรอยจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเพราะรอยหยาบแห่งความกังวลปรากฎอยู่จางๆ บนหน้าผากของชายหนุ่ม


           ประตูปิดลงอีกครั้งก่อนพลวัตจะก้าวฉับๆ ย่างสามขุมกลับมายังหนุ่มน้อยซึ่งทำหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างไร้เดียงสา


           “ลุกขึ้น” เขากล่าวก่อนดึงเสื้อคลุมผ้าไหมสีกรมท่าตัวยาวบนราวโยนให้กับคู่สนทนา “สวมมันซะ”


           ยาปนเลิกคิ้วกับความตื่นตัวเตรียมพร้อมของพลวัตแต่ก็ยอมยืนขึ้นและสวมเสื้อคลุมขณะที่อีกฝ่ายเดินมายืนข้างๆ และหันหน้าไปทางประตู


           ประตูเปิดออกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงการเปิดแง้มพอที่คนๆ จะก้าวเข้ามาในห้องและปิดบานประตูอย่างว่องไว บานประตูทั้งสองข้างถูกเปิดออกกว้างเท่าที่มันจะทำได้ราวกับกำลังเปิดกว้างให้กับทุกคน


           คิ้วของยาปนเลิกขึ้นเมื่อเห็นสิ่งแรกที่ผ่านประตูเข้ามา มันเป็นกลีบดอกไม้หลากสี แต่ทำไมต้องเป็นกลีบดอกไม้ด้วยละ


           เด็กสาวสองคนก้าวเข้ามา พวกนางดูราวกับเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน เพราะมีรูปร่าง ความสูง และสวมเสื้อผ้าโทนสีส้มและเหลืองดูสดใสและในมือทั้งถือตะกร้าซึ่งมีกลีบดอกไม้นานาชนิดเช่นเดียวกับที่กองบนพื้นเหมือนกัน


           ทว่าความเหมือนนั้นหาได้รวมถึงใบหน้าของพวกนาง ดวงตาสีดำขลับทั้งสองคู่มองมาที่ยาปนเป็นทางเดียว ทว่ากลับมีดวงตาเพียงคู่เดียวซึ่งทำให้ยาปนรู้สึกอึดอัด


           และดวงตาที่กำลังตัดพ้อด้วยความน้อยใจคู่นั้นก็เป็นดวงตาของสาวน้อยซึ่งอยู่ใกล้กับเก้าอี้ฝังมุกซึ่งมีดวงหน้างดงามและอ่อนเยาว์มากกว่าอีกฝ่าย และดวงหน้ากับดวงตาคู่นั้นก็คล้ายคลึงกับยาปนไม่ผิดเพี้ยน


          รสขมแห่งความละอายภายในปากทำให้ยาปนอับสิ้นซึ่งคำพูด เด็กผู้หญิงตรงหน้าคือน้องสาวซึ่งถูกเขาซึ่งเป็นพี่ชายอย่างเขาทอดทิ้งเป็นเวลากว่าสองปี


          เขาไม่อยากยอมรับถึงความจริงที่เขาซ่อนอยู่ภายในใจเลยว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดหาใช่เป็นความเข้มงวดจนน่าชังของบิดามารดา หากเป็นความเกลียดชังที่น้องสาวแสดงต่อเขา


          เสียงกระดิ่งดังขึ้นดึงความสนใจของยาปนให้มุมไปยังเบื้องนอกแทนที่จะเป็นน้องสาว ทันใดนั้นเท้าซึ่งสวมรองเท้าตัดเย็บจากผ้าไหมสีเทาก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามา ก่อนจะปรากฏร่างแบบบางราวกับนางงามในภาพวาดของอัครศิลปินซึ่งสวมชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์บักลายดอกโบตั๋น ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำราชวงศ์อันเก่าแก่แห่งศารทประเทศ


          สายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องเขียนหนังสือ และมันก็ทำให้หัวใจของหนุ่มน้อยนามยาปนสั่นไหวยามเมื่อมันหอบเอาผ้าคลุมลูกไม้ซึ่งปิดบังใบหน้างดงามราวกับพระปฏิมาซึ่งถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำขลับราวกับขนกาออก


          สตรีตรงหน้าเป็นสตรีที่ทั้งงดงามและดูอ่อนหวานที่สุดที่เขาเคยพบมา


          มือหนาของใครสักคนกดแผ่นหลังให้เด็กหนุ่มก้มลงต่ำจนเกือบหน้าคะมำอย่างง่ายดาย ยาปนรู้สึกได้ถึงไอร้อนบนใบหน้าและหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงภายในอก


          “ถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า”


          เสียงและคำพูดของพลวัตเรียกเอาสติทั้งมวลของยาปนกลับมา เขาไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต


          เขารู้แล้วว่าสตรีตรงหน้านี้เป็นผู้เดียวซึ่งเขาเคยพูดจาล้อเลียนอย่างคะนองปากและไม่เชื่อถือในกองคาราวาน


          เจ้านางอุษา ผู้อ้างสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งศารทประเทศนั่นเอง


          “งะ เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ”


          เจ้าของริมฝีปากอิ่มและสีสดราวกับกลีบกุหลาบกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะอย่างสตรีชาวราชสำนักแต่ดั้งเดิม ยาปนเงยหน้าขึ้นแต่ก็ไม่อาจมองใบหน้าของนางอย่างตรงๆ โชคดีที่หญิงสาวรู้สึกเขินและรีบจัดผ้าลูกไม้คลุมศีรษะให้เข้าที่จึงไม่สังเกตเห็นกริยาเก้อกระดากของเขา


          “เรามาเยือนที่นี่เพราะได้ยินจากนางกำนัลว่าพวกท่านจับโจรบุกลักพาตัวบนเทือกเขามหาฤกษ์ได้” พระสุรเสียงแห่งจอมนางไม่เพียงแค่ไพเราะเท่านั้น มันยังเจือด้วยจังหวะอันนุ่มนวลที่น่าหลงใหลอีกด้วย “จริงหรือเปล่าท่านพลวัต”


          “จริงพระพุทธเจ้าข้า” พลวัตกราบบังคมทูล ต่างจากบุรุษซึ่งอายุน้อยอย่างยาปน เขาไม่แสดงความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเคารพต่อฐานะของหญิงสาวและนั่นทำให้รอยยิ้มของนางเจือจางลง


          แต่รอยยิ้มสดใสนั้นก็กลับมาแทบจะทันที ทว่าดวงตาของนางกลับเปลี่ยนเป้าหมายไปจับจ้องยังเด็กหนุ่มข้างกายเขาแทน


          “ท่านต้องเป็นยาปนแน่” เจ้านางอุษาตรัสด้วยพระสุรเสียงสดใส “เราได้ยินเรื่องมากมายเกี่ยวกับการผจญภัยของท่านจากปากของคุณวาสินีมามาก แต่ไม่เคยได้พบตัวจริงสักที ครั้งนี้นับว่าเป็นเกียรตินัก”


          แม้จะงุนงงว่าเหตุใดสาวงามตรงหน้าจึงกล่าวเยินยอเขาเสียเลิศเลอในเมื่อน้องสาวของเขาควรจะกล่าวโทษถึงความเห็นแก่ตัวของเขา แต่เจ้าของชื่อที่ถูกขานถึงกับทำอะไรไม่ถูกนอกจากนิ่งเงียบเพื่อรักษาหน้าของตนไว้ น่าขันที่การฝึกอบรมมรรยาทที่แสนชังซึ่งบิดามารดามอบให้กลับส่งเสริมให้มันดูกล้าหาญและสง่างามอย่างกุลบุตรชาวศารทะที่ดี


          “เราต้องขอขอบคุณท่านจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ท่านได้ปกป้องประชาชนของเราอย่างกล้าหาญ...”


          ใบหูของเด็กหนุ่มกลายเป็นสีแดงเมื่อถูกกล่าวชม ทว่าเขากลับฟังไม่ได้ศัพท์หลังจากที่รู้ว่าหญิงสาวกล่าวถึงใคร


           คนที่ช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นคือเจ้านายธนาคารนั่นต่างหาก เขาไม่ยอมรับความดีความชอบของคนอื่นหรอกนะ


           ยาปนคงกราบบังคมทูลขัดเจ้าหญิงแล้วหากไม่ถูกขัดด้วยคำพูดของชายหนุ่มอีกคน


           “ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาท” เขากราบบังคมทูล “ข้าพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าผู้ที่มีความชอบเช่นนี้ควรจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณตอบแทนเพื่อส่งเสริมการปกครองที่ชอบธรรมของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อไป”


           แม้เป็นนายทหารแต่พลวัตก็มีนิสัยอ่อนน้อมและประนีประนอมอย่างที่บัณฑิตในราชสำนักมักจะเป็น จึงไม่แปลกที่เขาสามารถประดิษฐ์คำพูดได้ดี ผิดวิสัยทหารส่วนมากที่มักจะพูดจาตรงไปตรงมา


           พระปรางในราชนารีขึ้นสีเมื่อได้รับคำแนะนำจากบุรุษรูปงาม


           พระหัตถ์เรียวงามและอ่อนนุ่มในเจ้านางแตะมือหยาบกระด้างของเด็กหนุ่มทำให้เขาใจสั่นจนรู้สึกไม่มั่นคง


          “ท่านพลวัตพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง เราควรจะมอบตำแหน่งในราชสำนักให้กับท่าน” พระเนตรคู่โตซึ่งซ่อนอยู่ใต้แพพระโลมจักษุทอดมายังดวงตาของยาปนอย่างมีความหวัง “เราหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธหรอกนะ ยาปน”


          น้ำลายในปากของเด็กหนุ่มนั้นแห้งขณะที่ในใจกลับลนลานด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความตื่นตระหนกนั้นทำให้ยาปนไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของโฉมงามตรงหน้าได้เลย


          รอยแย้มสรวลแห่งจอมนางกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเฉพาะพระพักตร์คล้อยตามอย่างไม่อิดออด พระนางทรงหันกลับมาทอดพระเนตรยังทหารกล้ารูปงามซึ่งนิ่งเงียบ


          “เราไม่ควรจะรบกวนพวกท่านนานนัก” พระนางตรัสในที่สุด นางสนองพระโอษฐ์ซึ่งวางตะกร้าดอกไม้บนโต๊ะจึงหยิบมันขึ้นมาในมืออย่างพร้อมเพรียง


          “เจ้าไม่ต้องกลับกับเราหรอกวาสินี พวกเจ้าไม่ได้เจอกันตั้งนาน คงมีอะไรต้องสนทนากันอีกมาก”


          สาวน้อยซึ่งเป็นน้องสาวของยาปนวางตะกร้าดอกไม้ลงบนโต๊ะแล้วถอนสายบัวถวาย “ขอบพระทัยเพคะ”


          เจ้านางอุษาแย้มสรวลอ่อนหวานพระราชทานแก่นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทก่อนจะเสด็จออก ต่างจากรอยแย้มสรวลเมื่อครู่รอยแย้มสรวลนี้กลับดูเศร้าสร้อยและโดดเดี่ยว


          เมื่อขบวนเสด็จออกไปจนหมดแล้วบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็เข้าครอบคลุมทั่วห้องหนังสือทันที และด้วยเหตุนี้พลวัตจึงตัดสินใจก้าวฉับๆ ออกจากห้องไปอีกคน ทิ้งให้สองพี่น้องซึ่งไม่พบหน้ากันนานพูดคุยกันตามลำพัง


          เสียงเข็มนาฬิกาตั้งพื้นส่งเสียงยามที่มันขยับเป็นจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเสียงเดียวที่พวกเขาได้ยิน ไม่มีใครเปิดฉากการสนทนาเช่นเดียวกับดวงตาที่เบนหนีจากใบหน้าของอีกฝ่าย


          แต่ความอดทนนั้นก็มีขีดจำกัด


          สายลมจากภายนอกพัดผ่านเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทว่ามันหาได้สัมผัสกับยาปนแต่อย่างใด สัมผัสเดียวที่ยาปนตระหนักและรู้สึกในยามนี้คือความอบอุ่นจากร่างกายของน้องสาวของเขา


          ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของเด็กสาวซึ่งร่ำไห้ทั้งกอดรัดพี่ชายราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตา แต่ยาปนกลับอับสิ้นหนทางที่สะสื่อสารอะไรออกมา เขาเคยหวาดกลัวว่าน้องสาวจะเกลียดตน แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขากลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าที่รู้ว่าทอดทิ้งน้องสาวที่ยังคงรักและเคารพตนเองมากมายขนาดนี้


          เด็กหนุ่มเองก็จนใจจะพูด เขาทำเพียงตบบ่าของน้องสาวเป็นเชิงปลอบ จริงอยู่ที่เขารักน้องสาวเป็นอันมาก แต่เขาซึ่งใช้ชีวิตร่อนเร่ไปทั่วแคว้นมาตลอดสองปีก็ไม่เคยคุ้นกับการปฏิบัติต่อหญิงสาว


          ต้องกลับไปที่นั่นจริงๆ ล่ะสินะ


          ยาปนถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเสียไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าของสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวซึ่งเขาไม่ปรารถนาจะพบหน้าอีกเลย...





---***~~ *** ~~***---





           พระอาทิตย์เคลื่อนไปเกือบปลายสุดทางทิศตะวันตกแล้ว ท้องฟ้าสีครามจัดจ้าเริ่มมีสีคล้ำและพระจันทร์ก็ปรากฏเสี้ยวให้เห็นอยู่รางๆ


           เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นกรวดเบื้องล่างทำให้พลวัตซึ่งยืนอยู่บนห้องรับรองชั้นสองของกรมตำรวจหลวงอนหายใจอย่างโล่งอกจากบานหน้าต่าง เพราะในที่สุดยาปนก็ยอมตามน้องสาวกลับไปหาครอบครัวของตน


          เมื่อรถม้าสีดำนายทหารหนุ่มเปิดประตูห้องรับรองแล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อตรงไปยังบ้าน แม้เขาจะรู้สึกยินดีกับเรื่องของยาปนแต่เขายังมีปัญหาที่จะต้องรีบจัดการอยู่อีกมาก


           เขาหยุดทักทายนายตำรวจหลวงซึ่งทำความเคารพเขาซึ่งมียศสูงกว่าหลายครั้ง และหยุดพูดคุยกับอีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง


            สีหน้าเปี่ยมสุขเหล่านั้นทำให้เขาคิดถึงคนทั่วไปซึ่งก็คือคนภายนอกราชสำนัก ในสายตาของราษฎรส่วนใหญ่และชาวต่างชาติ สถานการณ์ทางการเมืองของศารทประเทศนั้นดีขึ้นมาก แต่ความสมัครสมานสามัคคีของชาวศารทะนั้นก็ถูกมัดรวมด้วยเชือกบางๆ ที่เป็นหญิงสาวบอบบางอย่างเจ้านางอุษา จริงอยู่ที่เจ้านางผู้ทรงพระสิริโฉมมีเชื้อสายกษัตริย์อันเป็นที่เคารพบูชายิ่งชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระนางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะเพียงลูกนอกสมรส ซ้ำร้ายยังอ่อนเยาว์เกินกว่าจะควบคุมอำนาจที่จะทรงได้รับในวาระต่อไป


            และโชคร้ายที่พลวัตไม่ใช่เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่สังเกตเห็นความจริงข้อนี้ ฝ่ายตรงกันข้ามที่ต้องการอำนาจซึ่งถูกช่วงชิงไปกลับคืนต่างก็พร้อมใช้ความไม่เหมาะสมดังกล่าวผลักให้เจ้าหญิงร่วงหล่นจากบัลลังก์ทอง


           พลวัตไม่อาจต่อว่าพวกเขาที่ทำเช่นนั้นได้เต็มปาก พวกเขาเป็นนักการเมืองไม่ต่างจากฝ่ายฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ซึ่งตัวเขาเองถือหางอยู่ ทั้งๆ ที่รู้ถึงจุดประสงค์เบื้องลึกของขุนนางในสภาดีว่าอำนาจนั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด


           เจ้านางอุษาไม่ใช่ผู้ปกครองคนต่อไป พระนางเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ทำให้เกมการเมืองดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด ทหารหนุ่มรู้ดีแก่ใจว่าผู้มีอำนาจซึ่งสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพระนางเล็งเห็นว่าความอ่อนแอของอุษาจะทำให้พวกเขาสามารถควบคุมพระนางโดยง่าย


          การปราบดาภิเษกของกษัตรีย์จะทำให้อุษามีฐานะเป็นประมุขที่ชอบธรรมแห่งรัฐ พระราชอำนาจที่มากมายและภาพลักษณ์ที่ดีซึ่งคงเพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลาที่พ้นผ่านจะทำให้คำครหาต่างๆ นั้นเบาบางลงจนในที่สุดมันก็จะไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไป


          ไม่ว่าใครต่างก็ภาวนาถึงช่วงเวลาที่แสนสำคัญนั้น แต่แท้ที่จริงเวลาที่สำคัญกว่าคือช่วงก่อนพระราชพิธีต่างหาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าการทำลายผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แห่งศารทประเทศนั้นย่อมง่ายกว่าการทำลายผู้ครองรัฐอย่างชอบธรรมและเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน


          หากรัฐบาลยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ศารทประเทศคงต้องถดถอยไปสู่ยุคมืดเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกครั้ง


          เสียงเพลงกล่อมเด็กดังแววออกมาเมื่อพลวัตเดินมาถึงโถงทางออกในที่สุด เขาผลักประตูออกจคงเห็นแม่ค้าหาบเร่หยุดกล่อมลูกน้อยในอ้อมแขน



หลับตานอนเสียเถิดหนาคนดี


ตัวแม่นี้มิจากไปแม้ยามฝัน


กล่อมลูกน้อยใต้แสงแห่งดวงจันทร์


อย่าดึงดันดื้อร้ายอยู่อีกเลย...




          มันเป็นบทกวีเก่าแก่ซึ่งมักร้องคลอกับพิณมาลาซึ่งเป็นเครื่องดนตรีมาจากถิ่นเดียวกัน และมันก็ทำให้เขาคิดถึงต้นกำเนิดของมันซึ่งอยู่ข้ามช่องแคบขึ้นไปทางเหนือ ที่ซึ่งผู้คนซึ่งมีดวงตาสีเทาเข้มอาศัยอยู่


           และดวงตาสีเดียวกันนี้เองที่จ้องมองเขาในยามเช้า


           พลวัตจำแทบไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นดวงตาของชาวมหาทวีปนั้นเขาอายุเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้เขารู้สึกยาวนานราวกับฝัน ราวกับว่าความจริงดังกล่าวเป็นเพียงนิทานปรำปราถึงดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ใดไปเหยียบย่าง


           ชาวมหาทวีปขาดการติดต่อกับชาวศารทะมานานกว่าสิบปีแล้วและเขาก็ไม่คิดว่าตนจะพบชาวมหาทวีปอีกครั้งในเมืองหลวงเช่นนี้ โดยเฉพาะสตรีซึ่งไม่ควรเดินทางอย่างโดดเดี่ยวในดินแดนที่เกลียดชังเชื้อชาติของนาง


           ถูกต้องแล้ว คนต่างชาติซึ่งช่วยเด็กหญิงอย่างห้าวหาญคนนั้นเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง


           อันที่จริงในเวลาที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้เขาควรจะรั้งนางไว้เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม แต่เขากลับฟังคำอ้อนวอนให้ปล่อยตัวนางไปเพราะเห็นใจที่นางเป็นสตรีตัวคนเดียว และเขาเองก็รู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ยอมตามคำขอนั้น โดยโกหกให้ยาปนได้รับความชอบไป บางทีเขาควรจะเอ่ยปากให้ความช่วยเหลืออื่นๆ


           ม้าตัวเมียสีขาวปลอดซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางของเขามาหลายปีร้องเบาๆ เมื่อเห็นทหารหนุ่มเดินมายังคอกของมัน


          ชายหนุ่มรูปงามลูบด้านข้างของมันอย่างใจลอยเพราะยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมายที่ยังรบกวนจิตใจ


          การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของศารทประเทศกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันน่าจะส่งผลดีเนื่องจากการมีประมุขเด็ดขาดจะทำให้จิตใจของคนในประเทศรวมเป็นหนึ่ง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่ามันจะต้องส่งผลกระทบบางอย่าง บางอย่างที่อาจไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย...