วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่2







บทที่๒




          ควันไฟจากถ่านไม้ซึ่งกลายเป็นสีแดงเรืองรองราวกับอัญมณีในเตาโชยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเย็นซึ่งความมืดเริ่มโรยตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ยังคงอบอวลในอากาศแม้มันจะถูกกลืนลงกระเพาะของเหล่านักเดินทางไปหมดแล้วก็ตาม


          ผู้คนนับสิบซึ่งนั่งล้อมวงรอบกองไฟต่างสนทนากันอย่างถูกคอท่ามกลางความมืดที่เริ่มโรยตัว บนใบหน้าที่อ่อนล้าเหล่านั้นปรากฏซึ่งรอยยิ้ม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะพวกเขาผ่านการเดินทางที่ยากลำบากที่สุด นั่นก็คือทางขึ้นเทือกเขารัตสิงขรซึ่งเป็นเขาชันสลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยโจร


          มีเพียงใบหน้าของบุคคลเพียงหนึ่งเท่านั้นซึ่งยังคงปราศจากรอยยิ้ม ต่างจากเพื่อนร่วมทาง ริมฝีปากของชาวมหาทวีปเม้มสนิทไม่สนทนาและแสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


          ดวงตาสีเงินที่ถูกบดบังด้วยเงาจากผ้าโพกศีรษะมองตรงไปยังกองไฟเบื้องหน้า ในความว่างเปล่านั้นปรากฏซึ่งความอ่อนล้าราวกับนักเดินทางซึ่งไม่เคยถึงจุดหมายที่แท้จริง


          เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่เขาร่อนเร่ในดินแดนทางตอนเหนือของอนุทวีป ที่นี่ต่างจากผู้คนทางตอนใต้ ชาวพื้นเมืองมีผมและดวงตาสีดำอันเป็นที่เกลียดชัง


          จริงอยู่ที่เขาสามารถกลมกลืนไปกับคนที่นี่เหมือนประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเกิดของเขา


          ข้ามช่องแคบมรกตอันมั่งคั่งไปยังปลายสุดของแผ่นดินใหญ่ ที่ซึ่งมีหิมะโปรยปรายทุกฤดูหนาวและประชากรผู้มีดวงตาสีเหล็กกล้า ที่นั่นคือที่ๆ เขากำเนิดมาบนโลกใบนี้


          แต่เขาก็ยังไม่สามารถกลับไปยังที่นั่นได้


          “ฮ่า ท่านอยู่ที่นี่เอง!”


          เสียงสดใสของหนุ่มน้อยทำให้คิ้วของคนต่างถิ่นเลิกขึ้นอย่างรำคาญ ตั้งแต่เจ้าคนจากหัวหน้ากองคาราวานนั่นรู้ว่าเขามาจากมหาทวีปก็เอาแต่มายุ่งวุ่นวายกับเขาจนเขารู้สึกรำคาญ


          ยาปนยิ้มแสยะอย่างถูกใจ เขาเองก็เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วไปจึงนึกอยากเอาชนะเจ้าคนต่างถิ่นซึ่งไม่ยอมให้สิ่งที่เขาต้องการ


          เด็กหนุ่มนั่งลงข้างกายคนแปลกหน้าโดยไม่คิดเอ่ยปากขอตามมรรยาทเลยสักนิด


          “ฉันเตือนเธอไปแล้วนะว่าอย่ามายุ่งกับฉัน” คนต่างถิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญอย่างไม่ปิดบัง


          หนุ่มน้อยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนยิ้มยิงฟันขาวให้อีกฝ่าย


          “และท่านก็ไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนี้”


          ชาวมหาทวีปตัดสินใจเงียบคร้านจะเถียงกับเด็กหนุ่มหัวดื้ออีก ยาปนจึงหันไปหยิบเศษกิ่งไม้หักเล่นแก้เบื่อแทน จริงอยู่ที่เขาอยากรู้เรื่องราวทางเหนือจากปากของคนพิลึกข้างๆ แต่ความจริงก็คือเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเก็บซ่อนความหงุดหงิดในใจ


          เป็นเวลากว่าสามวันแล้วหลังจากการเดินทางข้ามเทือกเขาที่ตัดผ่านประเทศนี้ การเดินทางเป็นไปย่างราบรื่นไร้ที่ติ ทว่ายาปนกลับไม่ถูกใจในเรื่องนี้ เพราะอุปสรรคในการเดินทางนี้ถูกคลี่คลายด้วยกองกำลังทหารหลวงซึ่งถูกสั่งการจากเจ้านางอุษาให้ควบคุมการสัญจรระหว่างถนนที่ตัดผ่านเทือกเขาเพื่อมุ่งสู่นครหลวง


          ไม่มีชาวศารทะที่รู้ความคนใดที่ไม่รู้จักเจ้านางอุษา ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แห่งศารทประเทศ ความลำบากหลังสงครามกับมหาอำนาจแห่งภาคกลางอย่างเวียงราชันและมธุรัฐทำให้ระบอบการปกครองล่มสลาย แม้ราชวงศ์ถูกล้มล้าง แต่ปัญหาความอดอยากและการแย่งชิงอำนาจระหว่างขุนนางและผู้ถือครองมันก็ยังคงดำเนินต่อไปราวกับไม่มีวันสิ้นสุด


          ชาวศารทะทุกคนต่างต้องผิดหวังเมื่อการปกครองแบบสาธารณรัฐเช่นเดียวกับแคว้นใกล้เคียงนั้นประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกที่ผลจะออกมาในรูปนั้นเพราะความเย่อหยิ่งในเกียรติภูมิอย่างไม่อาจจมลงของชาวศารทะนั้นเองที่ไม่สามารถทำให้ระบบดังกล่าวเป็นไปได้ทันต่อสถานการณ์คับขันของบ้านเมือง


          มนุษย์เราในยามจนตรอกย่อมหาทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดปัญหาและอุปสรรคตรงหน้าให้หมดไป แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เคยพยายามและได้ละทิ้งไปแล้วก็ตาม ชาวศารทะเองก็เป็นเช่นนั้น


          ขุนนางส่วนหนึ่งในสภาซึ่งเคยเป็นสมาชิกเก่าแก่ในราชสำนักเดิมตัดสินใจรื้อฟื้นราชวงศ์ขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมิดของความระส่ำระสายทางการเมือง แนวคิดเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งความหวังซึ่งประชาชนไขว่คว้าและสนับสนุนอย่างกว้างขวาง จนการปฏิวัติดังกล่าวสำเร็จลง


          แต่ช่างน่าขัน การรื้อฟื้นราชวงศ์นั้นจะเกิดขึ้นมิได้เลยหากไม่มีราชวงศ์ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวอย่างเจ้านางอุษา


          ก่อนการรัฐประหารล้มล้างระบอบกษัตริย์ รัฐสภาขึ้นตรงอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชกุมารซึ่งสูญเสียพระราชบิดาไปอย่างกะทันหัน เจ้าชายองค์นี้เป็นเพียงทูลกระหม่อมองค์เล็ก มิใช่มกุฎราชกุมาร พระองค์อ่อนแออย่างที่สุดเนื่องจากไม่ได้ทรงถูกเลี้ยงดูมาเพื่อปกครองประเทศ และด้วยสาเหตุนี้เองพระองค์จึงไม่ต่างจากหุ่นเชิดของเหล่าขุนนาง โดยเฉพาะตระกูลของพระมารดา


          เพื่อกำราบขุนนางเหล่านี้พวกเขาจึงจำต้องสำเร็จโทษเจ้าชายและนั่นอาจหมายถึงการสูญสิ้นราชวงศ์แห่งศารทประเทศโดยสิ้นเชิง


          กษัตริย์องค์ก่อนทรงอภิเษกสมรสถึงสองครั้งสองครา ทว่ากลับมีพระราชโอรสธิดาเพียงสามพระองค์เท่านั้น ซึ่งแต่ละพระองค์ก็ล้วนมีพระชนมายุที่สั้นจนน่าใจหาย มกุฎราชกุมารองค์ใหญ่นั้นมีพระชนม์ชีพเยี่ยงบุรุษเจ้าสำราญกระทั่งสวรรคตในวัยหนุ่มเพราะโรคร้ายซึ่งติดต่อจากเหล่าชู้รักทั้งชายหญิงของพระองค์ ส่วนพระอัครราชกุมารีนั้นก็ทรงอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ต่างแคว้นไปเสียแล้ว สิทธิในบัลลังก์จึงตกอยู่กับเจ้านางอุษา ผู้เป็นพระธิดานอกสมรสขององค์มกุฎราชกุมาร


          หากราชวงศ์เดิมยังคงมีอยู่อย่างมั่นคง เจ้านางอุษาคงไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น ทว่าในยามขับขันเช่นนี้ พวกสนับสนุนกษัตริย์ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหยิบยกพระนางซึ่งมีพระสุพรรณบัฎขององค์มกุฎราชกุมารเป็นหลักฐานถึงชาติกำเนิดของตนขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว ซึ่งก็ได้ผลดีจนน่าประหลาดใจเพราะประชาชนทุกคนต่างชื่นชมพระนางและเหล่าทหารต่างก็เป็นหนึ่งเดียวเพื่อรับใช้ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่


          ความจงรักภักดีนี่แหละซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้กับยาปน เขาเกิดในสมัยแห่งความยากลำบากซึ่งอำนาจผลัดเปลี่ยนไปโดยเหล่าบุคคลซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเชื่อมั่น แต่กลับทรยศต่อพวกเขาได้อย่างเลือดเย็นเมื่อหลงใหลกับความสุขสบายส่วนตัว


          ที่แย่ที่สุดคือเด็กหนุ่มไม่เคยชอบอาชีพในกองทัพและเหตุผลบางอย่างทำให้เขาค่อนข้างมีอคติกับอาชีพนี้ เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดจนเผลอไประเบิดอารมณ์ใส่ลูกจ้างคนหนึ่งเขา ลุงของเขาจึงไล่เขาออกมาเสียให้พ้นๆ


          เสียงเพลงจากพิณมาลาดังแว่วมาตามสายลมอย่างชัดเจน ผู้ขับขานบทเพลงดังกล่าวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสุภาพสตรีคนหนึ่งจากฟากหนึ่งของกองไฟซึ่งกำลังขับกล่อมลูกน้อยจอมซนซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตาไม้ และทารกในอ้อมแขนให้หลับใหล


          พิณมาลาเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากดินแดนทางตะวันตกของมหาทวีป มันเป็นเครื่องดนตรีแบบดีดเพียงหนึ่งเดียวที่อนุญาต ไม่สิ ให้เกียรติเฉพาะสตรีเป็นผู้บรรเลงเท่านั้น ซึ่งขัดกับประเพณีพื้นถิ่นของอนุทวีปซึ่งเครื่องดนตรีประเภทสายเช่นนี้จะเป็นเครื่องดนตรีที่สงวนเฉพาะบุรุษในราชสำนักเท่านั้น ชาวอนุทวีปส่วนมากซึ่งเล็งเห็นว่าพิณมาลาเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนชาติที่มีผมและดวงตาสีดำ จึงปฏิเสธที่จะยอมรับเครื่องดนตรีนี้ไปโดยปริยาย


          ชาวต่างถิ่นหลับตาของตนเสียและปล่อยให้บทเพลงอ่อนหวานนั้นผ่านเข้าหูทั้งสองข้างของตนไป เขาปล่อยใจของตนไปตามเสียงของมันซึ่งพาเขาผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาไปถึงคนที่เขาห่วงใยซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป


           ป่านนี้คนที่เขารักจะเป็นเช่นไรหนอ...


          “ชะรอยท่านกำลังคิดถึงสาวงามของท่านกระมัง”


          คำล้อของเจ้าเด็กปากคะนองทำให้นักเดินทางหลุดจากภวังค์แห่งเสียงเพลง เขาหันไปทางมาณพน้อยแล้วยิ้มเย็น


          “ใช่ สวยมากเลยละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงระรื่นเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่เขาจากมาไกล


          “อือฮือ...” ยาปนลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน “คงเป็นคนทางเหนือเหมือนท่านละสิ”


          นักเดินทางนิรนามมองหน้าเจ้าคนสู่รู้ไม่เข้าเรื่อง


          “ถ้าเธออยากรู้ขนาดนั้น เธอก็ควรคายเรื่องของตนออกมาก่อนนะเจ้าหนู”


          น้ำเสียงนั้นไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิดและเจ้าของมันก็ไม่หยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ด้วย


          “ฉันได้ยินพวกเธอพูดคุยกันอยู่บ่อยๆ ครอบครัวของเธออยู่ที่เมืองหลวงสินะ”


          คำพูดของอีกฝ่ายคงกระทบจิตใจของเด็กหนุ่ม เพราะมันทำให้รอยยิ้มของเขาหายไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง


          “ใช่แล้ว ครอบครัวของข้าอยู่เมืองหลวง” เขาตอบแต่ไม่คิดจะตอบคำถามทั้งหมด


          “อือฮือ...” เขาจงใจลากเสียงยาวเหมือนอีกฝ่าย “พ่อแม่คงคิดถึงเธอน่าดู เพราะท่าทางเธอคงไม่ได้กลับบ้านสักเท่าไร”


          ยาปนหัวเราะขัน “มันเป็นเพราะงานของข้า ข้าคิดว่าพวกเขาคงชินชาแล้ว”


          เขาไม่พูดเปล่าเพราะมือขวาหยาบของเขาหยิบดาบสั้นของตนขึ้นมาขัด แสงจันทร์นุ่มนวลสะท้อนกับคมมีดกลายกลับดูเยียบเย็นชวนขนลุก


          เขาอาจฉลาดเฉลียวแต่ยาปนก็เป็นเพียงวัยรุ่นอ่อนประสบการณ์โลก เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้แสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาเสียแล้ว


          นักเดินทางรู้ดีว่าอาการดังกล่าวนั้นเป็นอาการกลบเกลื่อนและเบนความสนใจ เด็กหนุ่มเกลียดที่จะพูดเรื่องนี้อย่างแน่นอน


          มือของคนแปลกหน้าฉวยมือหนาและหยาบกระด้างของยาปนขึ้นมาก่อนจะหดมือของตนกลับใต้แขนเสื้อคลุมยาว เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ


          “ท่าทางเธอมีฝีมือดี” คนแปลกหน้าเอ่ย “เธอน่าจะเป็นทหารนะ บางทีคงสบายกว่า...”


          คราวนี้ยาปนไม่อดทนฟังอีกต่อไป เขายิ้มเย็นและจ้องมองดวงตาอีกฝ่ายด้วยแววตาฉุนโกรธ แน่ละว่าเขาโกรธมาก แต่มันไม่ใช่แววตาร้อนรุ่มของวัยรุ่นอารมณ์ร้อนทั่วไป มันเป็นความโกรธที่เยียบเย็นเสียจนสะกดไม่ให้อีกฝ่ายเจรจาเจื้อยแจ้วให้เขารำคาญใจอีก


          “ข้าต้องจัดการเตรียมความพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้แล้ว” เขาพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างก่อนเดินจากไป


          แทนที่นักเดินทางจะหลบสายตาด้วยความหวั่นเกรง เขากลับมองตามเด็กหนุ่มไป จริงอยู่ที่เจ้าหนุ่มนั่นยอมหุบปากและล่าถอยไปในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นชัยชนะของตน ยาปนต้องพยายามให้เขาตอบแทนในสิ่งที่เขาทำอย่างแน่นอน


          เจ้าของนัยน์ตาสีเทาถอนหายใจก่อนเอนกายลงบนพื้นหญ้านุ่มๆ ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ใต้ท้องฟ้าที่พร่างพรายด้วยแสงดาว


          เขาหวังเหลือเกินว่าการเดินทางครั้งนี้จะสิ้นสุดแต่โดยเร็ว




---***~~ *** ~~***---




          ยาปนกำลังเดินไปมาบริเวณชายป่าอย่างงุ่นง่าน นิสัยชอบเอาชนะหาเรื่องให้เขาอีกตามเคย ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่หาทางแก้มันเสียที


          เขาหย่อนก้นนั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่งและผ่อนลมหายใจช้าๆ คำพูดของเจ้าต่างด้าวนั่นทำให้คิดถึงครอบครัวที่รอคอยเขาอยู่ที่เมืองหลวงอย่างเสียไม่ได้


          ชายคนนั้นพูดถูก ครอบครัวเป็นห่วงเขามากทีเดียว และมันหมายถึงความรำคาญอันใหญ่หลวงสำหรับเขา


          ครอบครัวของยาปนเป็นครอบครัวตัวอย่างของชาวศารทะที่ดี ฟังอาจจะเป็นเรื่องดีแต่มันกลายเป็นโชคร้ายสำหรับเด็กหนุ่มที่รักอิสระอย่างเขา ชาวศารทะเป็นชนชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องชาตินิยมอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าอาชีพทหารจึงเป็นหน้าที่อันดับต้นๆซึ่งเด็กหนุ่มทั้งหลายใฝ่ฝันจะเป็น


          จริงอยู่ที่พวกเขาเย่อหยิ่งกับสายเลือดสีน้ำเงินของตนจนยึดติดกับมันอย่างบ้าคลั่ง แต่การล่มสลายของราชวงศ์ไม่ได้ทำให้ความต้องการหน้าที่การงานในกองทัพลดลงเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ


          และนี่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่เขาเกลียดมันจับใจ


          เสียงซึ่งดังแว่วมาตามสายลมเรียกให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมองทางทิศตะวันออกซึ่งปรากฏแสงไฟจางๆ จากกลุ่มนักเดินทาง หากคราวนี้มันหาใช่เสียงดนตรีแว่วหวานดังเคยไม่ มันกลับไปเสียงโวยวายอลหม่านจนผิดสังเกตและนั่นทำให้เด็กหนุ่มรีบเดินมุ่งตรงไปทางนั้นทันที


          “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


          เขาแผดเสียงถามก่อนที่จะวิ่งไปถึงเสียอีก น้ำเสียงเข้มแข็งองอาจผิดบุคลิกห่ามๆ ดึงความสนใจของทุกคนให้พุ่งตรงมาหาเขาเพียงทางเดียว


          สุภาพสตรีซึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมก้าวออกมา แสงไฟริบหรี่จากกองไฟที่เริ่มมอดส่องกระทบใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งยังคงไหลจากดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างของนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนเดียวกับสตรีผู้ดีดพิณขับกล่อมลูกน้อยที่รอบกองไฟ


          นางตรงมาหาเด็กหนุ่มทันทีเพราะจำได้ว่าเขาเป็นคนงานของหัวหน้ากองคาราวาน


          “ลูกของฉัน ลูกสาวของฉันหายตัวไป”


          ยาปนสบถคำหยาบคายออกมายาวยืดเมื่อรู้ดังนั้น


          “หายไปได้ยังไง แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร” เขาถามมารดาของเด็กน้อย ผิดกับคำสบถเมื่อครู่เขาถามนางด้วยเสียงที่อ่อนโยนและผ่อนคลาย


          หญิงสาวสะอึ้นจนตัวโยน ความตกใจทำให้นางกลัวจนควบคุมสติไม่อยู่และนั่นทำให้นางใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยคำตอบออกมา


          “ขะ ข้าไม่รู้ ข้าเพียงเอาเจ้าตัวเล็ก ไปนอนบนเปลเมื่อกี้” นางกล่าวอย่างสับสนถึงลูกคนเล็ก “พอข้าหันมานางก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าคิดว่านางอาจจะหลงเข้าไปในป่า นางชอบดอกไม้แต่ข้าห้ามนางแล้ว นางคงจะดื้อดึง”


          เด็กหนุ่มขยี้ผมบนศีรษะ เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ ก่อนรีบเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่เดินทอดน่องตรงมาพร้อมกับคุยหยอกล้อกันอย่างสบายใจทันที


          “พวกแกอยู่เวรยามกันภาษาอะไร” เขาตรงไปผลักหนึ่งในคนเหล่านั้นซึ่งเดินมาจากทางหกนาฬิกา “เด็กผู้หญิงหายตัวไปจากที่นี่!”


          พวกยามได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างลนลาน พวกเขาอายุไม่ต่างจากยาปนสักเท่าไรนักแม้จะอายุมากกว่าก็ตามแต่พวกเขาก็เป็นแค่คนงานใหม่ในกองคาราวานและรู้ดีว่ายาปนมีฐานะที่แตกต่างจากตน


          “รีบไปบอกลุงของข้าสิ” ยาปนตวาดใส่พวกเขาที่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก “คนที่เหลือรีบไปรวบรวมคนให้ได้จำนวนหนึ่ง เราจะไปตามหาเด็กในป่า”





          ใบไม้และผิวน้ำต่างนิ่งสนิทประหนึ่งถูกหยุดเวลาไว้อยู่กับที่ ป่าในยามนี้คงเงียบสงัดและสงบเช่นนี้ต่อไปหากไม่มีกลุ่มชายฉกรรจ์กล่ำกรายเข้ามาพร้อมกับคบไฟในมือ


          ชื่อของเด็กน้อยถูกเอ่ยขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่มือของพวกเขาฟาดฟันกิ่งไม้น่ารำคาญไปให้พ้นสายตา


          “กระจายกันไปทางตะวันตกสิ” ผู้ช่วยของหัวหน้ากองคาราวานซึ่งถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วนตะโกนกร้าว


          ยาปนไปคนแรกที่ก้าวเดินไปตามคำสั่งนั้น การตามหาตัวเด็กหญิงนั้นดำเนินมานานหลายชั่วโมงแล้วและพวกเขาจะไม่หยุดตามหาเธอจนกว่าจะรุ่งสาง


          ลุงของเด็กหนุ่มไม่ได้นำกลุ่มค้นหาเนื่องจากเขาเป็นผู้นำของนักเดินทางและเป็นผู้ถูกว่าจ้างรายใหญ่ เขาจึงต้องอยู่ควบคุมสถานการณ์บริเวณที่พัก และรอคอยตำรวจหลวงซึ่งประจำอยู่ตามทางหลวงบนภูเขา


          หากพวกเขาไม่สามารถหาตัวเด็กหญิงได้ พวกเขาก็ต้องบอกลาอาชีพนี้ เพราะคงไม่มีใครอยากว่าจ้างกองคาราวานที่ปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หายตัวไปหรอก


          ใบหน้าของคนงานแทบทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล รวมถึงเหล่าคนงานหนุ่มด้วย คนในวัยของพวกเขามักสมัครเข้ากองทัพหากไม่สืบทอดกิจการครอบครัว แต่คนเหล่านี้ไม่มีธุรกิจให้สืบทอด บางคนมีครอบครัวใหญ่และคนเฒ่าชราให้ดูแลจนไม่อาจร่วมกองทัพ และบางคนก็ถูกขับไล่ออกมาจากกองทัพ หากพวกเขาสูญเสียงานไปพวกเขาจะอยู่ต่อไปได้อย่างใด


          ยาปนต่างจากคนเหล่านี้ เขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้น สิ่งที่เขารู้สึกกังวลมากที่สุดมีเพียงสวัสดิภาพของเด็กหญิงตัวน้อยเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เขาจึงยังคงสติได้มากกว่าผู้อื่น


          เสียงไม้แตกหักทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันมามองที่เท้าซึ่งสวมบู้ทหนังตุ่น มันคือซากตุ๊กตาไม้ที่เขาเห็นเด็กหญิงคนนั้นเล่นรอบกองไฟนั่นเอง


          แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทิ้งร่องรอยให้เห็นบนพื้น...


          หนุ่มน้อยผิวปากเสียงแหลมสูงและโบกคบไฟเป็นสัญญาณให้ผู้ช่วยของลุงตรงมาหาเขา ก่อนจะอาศัยแสงไฟชี้ไปที่รอยเท้าหลายคู่บนพื้น โชคดีที่น้ำค้างยามค่ำทำให้รอยเท้าถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างชัดเจน แม้มันจะเป็นพื้นแข็งบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ตาม


          ยาปนก้มลงแตะรอยเท้านั้น ดินบริเวณนั้นยังชื้น บ่งบอกว่ามันเป็นรอยเท้าที่เพิ่งถูกเหยียบไม่นาน เจ้าของมันคงเดินเท้าจากไปไม่ไกลอย่างแน่นอน


          คิ้วของชายวัยกลางคนผูกแน่นเมื่อพินิจมันอย่างชัดเจน รอยเท้าดังกล่าวนั้นมีขนาดใหญ่โตและมีรูปทรงแบบที่บุรุษใช้


          จริงอยู่ว่าทหารหลวงรับพระราชโองการแห่งเจ้านางให้มาอารักขาผู้คนบนถนนหลวงที่มุ่งไปสู่นครหลวง เพื่อต้อนรับและแสดงน้ำใจต่อราษฎรผู้ภักดีต่อพระนางซึ่งพากเพียรมาเข้าเฝ้าในพระราชพิธีราชาภิเษกซึ่งจะถูกจัดในเร็ววันนี้ ทว่าพวกโจรป่าที่เคยดักปล้นอยู่ตามเส้นทางก็มิได้ล้มหายตายจากไปไหน พวกมันเพียงแค่ซ่อนตัวเพื่อรอเวลาให้ผ่านพ้นไป และที่กบดานใดเหล่าจะดีไปยิ่งกว่าผืนป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและต้นไม้สูงใหญ่ที่บดบังพวกมันให้พ้นจากสายตาของทางการอีกเล่า


          ดวงตาสีดำสนิทของชายวัยกลางคนมองไปที่ยาปนอย่างรู้ทัน


          “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และข้าขอเตือนเจ้าในฐานะมิตรคนหนึ่งว่าอย่าเสียดีกว่า”


          ทว่ายาปนไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาและไม่กลัวที่จะแสดงมันออกมาด้วย


          “แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ ปล่อยเด็กคนนั้นไปให้พวกบ้านั่นย่ำยีเหรอ”


          ผู้ช่วยของผู้คุมกองคาราวานส่ายหน้า “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่เจ้าแค่ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของพวกเราก็พอ”


          เด็กหนุ่มจ้องตาอีกฝ่าย แววตาของเขาดุกร้าวและจริงจังอย่างที่ยากจะปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์เยี่ยงนี้


           “ชีวิตของข้าเป็นของข้า และข้าก็มั่นใจว่าข้าดูแลตัวเองได้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอดกลั้นไม่ใช่อดทนก่อนวาดมือชี้ไปทางคนงานคนอื่นๆ “ดูเจ้าพวกนั้นสิ ส่วนมากเจ้าพวกนั้นก็เพิ่งถูกรับเข้ามาใหม่จะทำงานได้ดีสักแค่ไหนเชียว”


          ชายวัยกลางคนเยื้อนริมฝีปากแต่ก็ต้องหุบปากของตนเสีย แม้จะขัดใจแต่ยาปนก็พูดถูก


          “แม่ของเจ้าต้องฆ่าข้าแน่ๆ” เขาบ่นแต่ก็ยอมแต่โดยดี


          “พวกเรามารวมกลุ่มกันทางนี้”


          ชายวัยกลางคนจัดการแบ่งคนออกเหลือเพียงครึ่งเดียวก่อนออกคำสั่งให้คนอื่นๆ รีบกลับไปแจ้งต่อผู้เป็นเจ้านาย คนที่เขาเลือกนั้นส่วนมากเป็นลูกจ้างเก่าของกองคาราวานหรือไม่ก็เป็นพวกทหารที่ถูกปลดประจำการ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะพวกเขามีความชำนาญในการสะกดรอยในความมืด


          คณะผู้ตามหาจำต้องดับคบไฟของตนเสีย พวกเขาก้าวอย่างระแวดระวังอย่างเงียบเชียบ


          สายน้ำอาจวิ่งไหลเอื่อยกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ทว่าเสียงที่ถูกกลืนหายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินเข้าป่าไปถึงทางลาดซึ่งลำธารคดเคี้ยวไปตามโขดหินส่งเสียงใสเย็นสบายแว่วมาแต่ไกล


          เสียงหวีดร้องดังแหวกผ่านอากาศเรียกให้ทุกคนรู้สึกขนลุกซู่ มันเป็นเสียงของเด็กหญิงอย่างแน่นอน


          ยาปนซึ่งเด็กที่สุดในหมู่พวกเขาสะกดความร้อนใจ เขาเผลอก้าวไปข้างหน้าถึงสองเท้าก่อนจะชะงัก


          เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ กับตัวเองขณะค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวังมากขึ้นพร้อมกับแหวกกิ่งไม้ไปให้พ้นจากสายตา


          เสียงปะทะของดาบดังขึ้นเป็นสัญญาณแรกท่ามกลางความมืดมิด คณะผู้ค้นหาทุกคนกำอาวุธในมือจนแน่น รวบรวมสมาธิ


          พวกมันรู้ตัวแล้วว่าพวกเขาตามหาพวกมันจนพบ ทั้งสองฝ่ายต่างเจ้าต่อสู้กัน พวกโจรแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดกุมและมีสีเข้มทำให้ยากต่อการมองเห็น ทว่ากลุ่มคณะค้นหาก็สวมเสื้อผ้าสีโทนด้วยกัน แสงจันทร์ที่สะท้อนบนคมดาบจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นการปะทะอย่างชัดเจนที่สุด


          ยาปนถีบคู่ต่อสู้ที่เพิ่งถูกเขาปลดอาวุธสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปก็เข้ามาแทนที่ในพริบตา ดวงตาคู่โตวาววับเบนหนีออกจากอีกฝ่ายไปทางสิบนาฬิกาและเห็นเงาร่างๆ ของคนร้ายซึ่งกำลังวิ่งอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียงขณะหนีจากไป โดยที่ไม่มีใครสักคนสังเกตเห็น


          ไอ้พวกเลวนี่ต้องการถ่วงเวลาลักพาตัวเด็ก


          ทันทีที่สลัดโจรซึ่งพลาดท่าให้เขา ยาปนก็รีบวิ่งกวดเจ้าหัวขโมยเด็กคนนั้นไปทันที หัวขโมยคนนั้นต่างจากเพื่อนคนอื่นๆของมัน มันมีรูปร่างเล็กและโปร่งเหมาะกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว และนั่นทำให้ยาปนรู้ว่าเจ้าโจรเหล่านี้จะต้องเตรียมการมาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว


          เสียงบางสิ่งวิ่งฉิวเฉียดผ่านปลายจมูกและทิ้งแผลบนแก้มขวาของเขา


          รัศมีจันทร์ริบหรี่ใต้ต้นไม้แสดงเจ้าสิ่งนั้นซึ่งตกบนพื้นให้เห็นรางๆ ทว่ายาปนก็แน่ใจว่ามันคือสิ่งใด


          มันคือลูกธนู


          เด็กหนุ่มรีบหลบตามต้นไม้ต่างๆ โดยพยายามเคลื่อนไหวให้เงียบและเร็วที่สุด


          เจ้าคนต่างชาตินั่นคิดถูกว่าเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ติดสอยลุงเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันกองคาราวานไปยังที่ต่างๆ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเทพเจ้าที่สามารถแยกร่างรุมต่อสู้กับโจรเจ้าถิ่นที่ซุ่มอยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้หรอก


          เสียงธนูถูกยิงอีกหนึ่งดอกและตามด้วยเสียงหนักๆ ของร่างมนุษย์ซึ่งทรุดลงกองกับพื้นบริเวณข้างหลัง


          ยาปนประเมินสถานการณ์ของตน เขารู้ว่าตนเองควรจะเดินหนีไป ทว่าความต้องการเอาชนะก็ทำให้เขานิ่งอยู่กับที่แม้จะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็ตาม


          เสียงธนูที่ปักยังเป้าหมายและเสียงสิ่งของซึ่งร่วงหล่นกับพื้นยังคงดังขึ้นอีกสามครั้งก่อนจะตามมาด้วยเสียงโอดครวญสุดท้าย


          พุ่มไม้ข้างหน้าของหนุ่มน้อยสั่นไหว ยาปนเลิกคิ้วเมื่อคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายจะหนีกลับมาทางเดิม บางทีมันอาจจะคิดว่ากำจัดศัตรูหมดแล้วกระมัง


          มือของเด็กหนุ่มกุมดาบแน่น เตรียมพร้อมสำหรับการรณรงค์ เขาจะทำให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นคิดผิดอย่างแน่นอน


          ดาบของเด็กหนุ่มวาดบนอากาศสะท้อนเงาวาววับอย่างงดงาม ทว่ามันกลับต้องหยุดอยู่กลางอากาศอยู่เช่นนั้นเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเต็มตา


          บุคคลตรงหน้าเขานั้นสวมเสื้อผ้าสีเข้มแต่สะดุดตาด้วยการโพกศีรษะอย่างเป็นแบบฉบับของศิศิราลัย ที่มือซ้ายนั้นกอบกุมมือของเด็กหญิงที่พยายามซุกร่างของเขาไว้แน่น


          เขาคือเจ้าพวก นายธนาคาร คนนั้นนั่นเอง


          “เธอกำลังทำแม่หนูคนนี้กลัวนะ” เสียบเยียบเย็นเปี่ยมด้วยอำนาจของเขากล่าวเตือน “ลดดาบลงซะ”


          ยาปนลดดาบลงตามคำขอนั้น สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในยามนี้กลับเป็นอาวุธที่อยู่ในมือขวาของคนต่างถิ่น


          เด็กหนุ่มมองคันธนูซึ่งเป็นคนธนูแบบที่ชนพื้นเมืองใช้ล่าสัตว์ ซึ่งต่างจากธนูของเหล่าทหารก่อนจะแหวกพุ่มไม้บริเวณซึ่งทั้งสองจากมา แสงจันทร์ขมุกขะมัวเผยเห็นเห็นกองอะไรบางอย่างซึ่งขยับได้และน่าจะเป็นมนุษย์ซึ่งกำลังบาดเจ็บ และพวกนั้นก็ไม่ใช่สมาชิกกองคาราวานแต่อย่างใด


          ฝีมือของนักเดินทางคนนี้เยี่ยมยอดเช่นเดียวกับเขา ไม่สิ บางทีประสบการณ์ชีวิตที่สูงกว่าต้องทำให้เจ้าคนประหลาดนี่เก่งกาจกว่าเขาอย่างแน่นอน


          “ธนูเมื่อกี้ฝีมือท่านสินะ” เขากล่าวโดยไม่มีการล้อเล่นในน้ำเสียง อันที่จริงเขาดูจริงจังจนน่ากลัว “ท่านมาได้อย่างไร”


          คำตอบที่ยาปนได้รับกลับเป็นการถูกผลักเบาๆ


          “ใช่ และฉันขอเตือนเธออีกครั้งนะพ่อหนุ่ม เด็กคนนี้กำลังตกใจ พวกเราควรจะรีบพานางกลับไปหาครอบครัวให้เร็วที่สุด”


          นี่คือการตัดบท พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย


          ยาปนซึ่งเดินออกมาสู่ลานโล่งซึ่งพวกเขาเคยต่อสู้กับกองโจร เขาพบว่าบัดนี้พวกโจรได้กลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่พวกสมาชิกกองคาราวานซึ่งกำลังยืนหอบหายใจหลังจากการรณรงค์ที่ไร้ประโยชน์


          ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ช่วยของลุงเดินมาหาพวกเขาทันที ดวงตาสีดำอย่างชาวพื้นเมืองเช่นเดียวกับยาปนมองไปที่คนต่างด้าวกับเด็กหญิงอย่างสงสัย


          “รีบพานางกลับไปเถอะ” นักเดินทางปริศนากล่าวเบนความสนใจนั่นเสีย


          นั่นไม่ใช่คำสั่งแต่เขาพูดในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น เขานำเด็กน้อยมอบให้กับผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานและก้าวถอยหลังกลืนไปกลุ่มคนอื่นๆ


          ยาปนยักไหล่ให้กับลูกน้องคนสนิทของลุงและเดินตามไป


         ดวงตาของเขายังคงเหลือบมองไปที่เจ้าของดวงตาสีเทาซึ่งยังคงรบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ความอยากรู้ของเขาถูกเพิ่มพูนให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก


         เขาต้องอดทนมากกว่า เพราะคนๆ นี้รู้ดีว่าเขาต้องการอะไร และเขาจะทำให้อีกฝ่ายคายปริศนาของตนเองมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม





          ในที่สุด ดาวประจำเมืองทางด้านทิศตะวันตกที่เคยปรากฏทางทิศตะวันตกระหว่างมื้อเย็นก็หายตัวมาเป็นดาวประกายพรึกทางด้านทิศตะวันออกซึ่งบอกเวลาใกล้รุ่งแล้ว



          คณะผู้ค้นหากลับมาด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าพวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดีว่าธุระของตนยังไม่จบสิ้น เพราะเมื่อพวกเขากลับไปถึง กองทหารของทางการต้องรอคอยสอบปากคำพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน


          รอยยิ้มทะเล้นเริงร่าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยาปนถูกช่วงชิงให้หายไปตามกาลเวลาที่พ้นผ่าน เขากำลังอารมณบูดและไม่สนใจที่จะปกปิดมัน ทุกคนรู้ดีว่าเขาไม่ชอบทหารและตำรวจของทางการแม้จะไม่ทราบเหตุผลก็ตาม


          หมู่กระโจมกลับเข้ามาสู่สายตาของพวกเขาอีกครั้ง คนงานหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นมันเสียที


          บริเวณรอบกองไฟที่ยังโชนแสงอยู่นั้น หัวหน้ากองคาราวานและครอบครัวของเด็กหญิงตัวน้อยกำลังยืนคอยอยู่ แต่พวกเขาหาได้ยืนอยู่เพียงลำพัง เพราะเหล่าทหารที่รอคอยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน


          “วาสินี วาสินีลูกแม่”


          ผู้เป็นแม่ผุดลุกขึ้นและวิ่งตรงเข้าหาบุตรีทันทีเมื่อเห็นนาง มารดาจูบซ้ายขวาปลอบขวัญเด็กน้อยซึ่งสะอึ้นไห้อีกครั้ง


          ภาพอันน่าประทับใจนั่นทำให้ใครหลายคนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ


          ใช่ ใครหลายคน เว้นแต่เด็กหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลานของหัวหน้ากองคาราวาน ซึ่งมองตรงไปยังทหารนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าผู้เป็นลุง


          ทหารนายนั้นเด่นสะดุดตาเพราะเขาหน้าตาดีและมียศสูงกว่าทหารหลายๆ คน เขาอายุราวปลายยี่สิบ และคงรู้จักกับยาปนอยู่ก่อนแล้ว เพราะเขาหันมามองเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าถมึงทึงเมื่อสังเกตถึงการปรากฏกายของอีกฝ่าย


          “อรุณสวัสดิ์ยาปน” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นความโกรธ


          รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง ทว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มร่าเริงอย่างม้าดีดกะโหลกที่เพื่อนร่วมงานเคยคุ้น มันเป็นเพียงการเหยียดเผยอริมฝีปากโดยมรรยาทเท่านั้น


          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ท่านพี่พลวัต”












-------------------------------------------------------------------------






สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกคน ตอนนี้ที่ เอ็กซ์ทีน มีปัญหาเยอะมากเลย ฉันก็เลยคิดว่าจะอัพมันทั้งสองที่เพื่อไม่ให้เสียเวลาค่ะ

ตอนนี้อาจจะเอื่อยๆ สักนิดนะคะ เพราะไม่ได้เปิดเผยเรื่องอะไรมากเกี่ยวกับพระ-นาง (จขบ.ยังเล่าเรื่องผ่านยาปนอยู่ค่ะ)

ว่าแต่อีตาพลวัตนี่เป็นใครกันนะ ถ้าอยากรู้ เชิญติดตามได้ในบทที่๓ นะคะ แล้วเจอกันค่ะ Bye


ป.ล. แม้จขบ.จะแต่งนิยายเกี่ยวกับการเมือง แต่ห้ามมาตีความเพื่อเล่นกีฬาสีในบล้อกนี้ ไม่ชอบสักสี ขอบอก



วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่1







          หลับตานอนเสียเถิดหนาคนดี
ตัวแม่นี้มิจากไปแม้ยามฝัน
กล่อมลูกน้อยใต้แสงแห่งดวงจันทร์
อย่าดึงดันดื้อร้ายอยู่อีกเลย

          ปากร่ำร้องลำนำอันแสนหวาน
ปลอบดวงมาลย์ให้ปลงหยุดนิ่งเฉย
สดับเสียงขับขานเถอะลูกเอย
เพลงที่เคยยลยินทุกค่ำคืน

          ยอดทรามเชยของแม่จงหลับใหล
ห่อนอาลัยใดๆ ให้เจ้าฝืน
มีฝันหวานอุ่นไอไม่สู้ตื่น
ผ่านกลางคืนสู่วันใหม่ที่รื่นรมย์




บทที่๑



          สายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างไกลซึ่งต้นไม้เริ่มแตกหน่อผลิใบอีกครั้งหลังจากผ่านฤดูหนาวที่แสนยาวนาน ดวงตะวันเริ่มทอแสงที่ปลายสุดของหุบเขาทางด้านทิศตะวันออกย้อมท้องฟ้าสีเข้มให้เป็นสีคราม และเปลี่ยนซากอาคารเก่าที่ถูกเผาทำลายให้เป็นสีทองสุกปลั่งราวกับว่ามันถูกสร้างจากทองคำจริงๆ


          เสียงไก่และฝูงวัวร้องรับอรุณคลอกับเสียงน้ำเดือดในกาซึ่งวางบนเตาไฟกลางแจ้ง ซึ่งเหล่านักเดินทางรีบยกออกมารินใส่ถ้วยดีบุกซึ่งใส่ใบชาไว้เรียบร้อยแล้ว


          ช่างไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้นี่เองซึ่งเคยเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่รองจากนครหลวงแห่งศารทประเทศ หนึ่งในแคว้นที่ เคย เรืองอำนาจที่สุดในหกแคว้นทางภาคเหนือของอนุทวีป


          หนุ่มน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นบิดกายและจ้องมองไปยังเบื้องหน้า ดวงตาสีดำสนิทอย่างชนพื้นเมืองสะท้อนเงาของเมืองซึ่งพังทลายจากสงครามอย่างไร้ความรู้สึก เขาเกิดที่นี่ แต่เพราะสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนทำให้ครอบครัวของเขาต้องหนีไป ในขณะนั้นเขายังอายุน้อยมากจึงไม่รู้สึกผูกพันกับบ้านเกิดเหมือนกับพ่อแม่ของเขาซึ่งมักจมอยู่กับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ของตน


          เงาที่ทอดตกกระทบด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมกองคาราวานของเขาตื่นแล้วคนหนึ่ง


          “เอาชาสักถ้วยไหม” เขากล่าวด้วยสำเนียงองอาจอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวศารทะซึ่งขัดกับบุคลิกห่ามๆ ของเขา


          เพื่อนร่วมทางส่ายหน้าปฏิเสธ ชายแปลกหน้าผู้นี้สวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงหากแต่คลุมศีรษะด้วยผ้าคลุมอย่างชาวศิศิระที่อาศัยอยู่บริเวณที่ต่ำซึ่งมีทะเลสาบมากมาย


          เด็กหนุ่มยักไหล่ก่อนทรุดลงนั่งผิงไฟอย่างไม่ใส่ใจ อันที่จริงเขาไม่รู้จักเพื่อนร่วมทางคนนี้เลยสักนิด เพราะคนผู้นี้เป็นเพียงลูกค้าซึ่งขอติดโดยสารไปยังเมืองหลวงใหม่ทางตะวันออกเฉียงของแคว้น เนื่องจากเส้นทางทางตอนใต้นี้มีโจรชุกชุม


          เสียงเด็กทารกร้องงอแงดังขึ้น ตามมาด้วยครางด้วยความเกียจคร้านดังแว่วมาจากกระโจมผ้าทั้งสองหลังบอกให้รู้ว่าเพื่อนร่วมงานและลูกค้าคนอื่นๆ ตื่นกันหมดแล้ว และมันก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องทำอาหารเลี้ยงทุกคน


          มือหยาบกระด้างหักคอไก่ในตะกร้าเจ็ดตัวก่อนจะโยนเข้าในหม้อน้ำเดือดเพื่อจัดการถอนขน ทำความสะอาดและอาบมันด้วยเกลือ และสมุนไพรท้องถิ่น ก่อนจับมันเสียบไม้ย่างบนกองไฟอย่างง่ายๆ


          ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยไปทั่ว ทุกคนที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วต่างมองไก่ย่างที่ยังไม่สุกดีด้วยความหิว


          จานและถ้วยดีบุกถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนทั้งหญิงและชาย เว้นแต่เด็กทารกซึ่งเพิ่งได้ดื่มน้ำนมจากถันของมารดา


          เนื้อไก่อวบอ้วนชุ่มน้ำมันเดือดส่งเสียงฉ่าๆ ถูกแบ่งออกเท่าๆ เพื่อแบ่งปันให้กับทุกคนซึ่งเร่งรีบทานมันจนหมดก่อนช่วยกันล้างด้วยน้ำซึ่งตักมาจากบ่อน้ำใกล้ๆ


          เมื่อทุกคนอิ่มหนำ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง กระโจมทั้งหมด รวมถึงสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ถูกเก็บขึ้นบนเกวียน และเศษอาหารที่เหลือถูกกองใกล้ๆ ให้อีกาซึ่งจับจ้องพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว


          เด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่เฝ้ายามปีนขึ้นเกวียนสินค้าเพื่อหลับพักผ่อน เขาเอนกายลงบนกองผ้าและเหลือบมองผ่านช่องว่างระหว่างผ้าคลุมเกวียนก็เห็นบุรุษแปลกหน้าคนนั้นอีกครั้ง เขาเดินทางพร้อมกับม้าของตนเองจึงไม่ต้องแออัดเบียดเสียดในกระโจมเหมือนกับคนส่วนใหญ่


          หนึ่งในคณะลูกจ้างคงหลับตาลงนอนทันทีหากไม่ใช่ว่าสังเกตเห็นว่าแสงอาทิตย์ที่กระทบบนร่างของบุรุษผู้นั้นเผยให้เห็นดวงตาสีเทาเข้มแปลกตา อันเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของผู้ที่อาศัยบนแหลมปลายสุดทางตะวันตกของมหาทวีป


          มาณพน้อยมองชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเห็นชาวมหาทวีปมาก่อนสักครั้ง ไม่สิหรือแม้จะเคยเห็นเขาก็คงจำไม่ได้เพราะคงเป็นตอนก่อนแคว้นของเขาจะล่มสลาย และยังคงทำการค้าขายทางทะเลกับต่างชาติ


          ด้วยเหตุนี้เองสิ่งที่เขารู้นั้นก็แค่เพียงคำเล่าลือของเหล่าพ่อค้าซึ่งเดินทางมากับกองคาราวานเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าคำกล่าวนั้นเป็นความจริงเขาจึงรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก


          ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากไปเยือนที่นั่นสักครั้ง ซึ่งมันก็เป็นไปได้ยากอยู่อักโข เพราะดินแดนทางเหนือและสถานีการค้าทุกแห่งนั้นถูกควบคุมด้วยสหพันธ์วาณิชอย่างเคร่งครัด นั่นก็หมายความว่าเขาต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อทำการค้าจึงจะสามารถเข้าไปในเขตของสหพันธ์ได้


          ฮึ ถ้าเขามีเงินมากมายขนาดนั้นก็คงไม่รับจ้างคุ้มกันให้กับกองคาราวานแบบนี้หรอก!


          แต่จะว่าไปแล้วทำไมคนทางเหนือถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ แถมยังแต่งตัวอย่างกับพวกศิศิระด้วย... เขาครุ่นคิดอย่างสงสัยเพราะการปกครองที่ล่มสลายและการก่อการจลาจลในประเทศ ทำให้ศารทประเทศกลายเป็นแดนเถื่อนที่มีผู้ร้ายชุกชุม พวกเขาจึงไม่ได้ทำการค้าขายกันอีกเลยหลังจากการยกทัพเข้ามาสร้างความไม่สงบของเวียงราชัน


          ชาวศารทะหัวคร่ำครึอย่างพ่อแม่ของเขาไม่ชอบพวกทางตอนเหนือนัก ซึ่งรวมถึงพวกที่อาศัยตามชายฝั่งตอนบนของอนุทวีปด้วย


          จริงอยู่ที่ความร่ำรวยของผู้ที่อยู่ทางตอนเหนือทำให้พวกเขาได้สมญาว่า นายธนาคาร แต่ชาวศารทะกลับมักเรียกขานพวกเขาว่า ปลาทูอ้วนพี เนื่องจากเป็นพวกชนชั้นกลางที่มีบรรพบุรุษประกอบอาชีพประมงไร้ซึ่งเกียรติ และด้วยเหตุนี้จึงมีคำบริพาธว่า เหม็นคาวปลา ให้ได้ยินอยู่เนื่องๆ ยามเมื่อพวกเขาตกเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่พวกผู้ใหญ่หัวแข็งที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมโบราณแบบศารทะ


          แต่จะว่าไปชาวศารทะเดิมก็คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว แม้แต่ชาวแคว้นเพื่อนบ้านที่อยู่ตอนใต้อย่างศิศิราลัยและครีษมาลัยก็ยังไม่วายมีชื่อเล่นว่า มนุษย์โคลนตม หรือ เด็กเลี้ยงแพะ เพราะมีอาชีพเกษตรกรรมอาศัยอยู่ตามทะเลสาบและทุ่งหญ้าอบอุ่น อีกทั้งทั้งสองแคว้นต่างมีฐานะยากจนเนื่องจากไม่มีอาณาเขตติดกับชายฝั่งให้ทำการค้ากับต่างประเทศ


          ช่างน่าหัวร่อเมื่อยามนี้ ศารทประเทศได้กลายเป็นประเทศยากจนไม่ต่างจากพวกเขา ไม่สิบางทีอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยชาวศิศิระและชาวครีษมะต่างก็ชินชากับการใช้ชีวิตแบบสมถะ ผิดกับพวกเขาที่ยังคงจมอยู่กับเกียรติยศของราชอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ซึ่งถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว


          เด็กหนุ่มหาววอดใหญ่ก่อนพลิกตัว อย่างไรเสียมันก็เป็นปัญหาของคนรุ่นก่อนที่วัยรุ่นเช่นเขาไม่เข้าใจ แทนที่จะมาครุ่นคิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เขาสู้เอาเวลาว่างนี้นอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้เป็นเวรของเขาขับเกวียนเสบียงเสียด้วย


          แต่ทันใดนั้นเอาเกวียนซึ่งเขานอนพักอยู่ก็ถูกชนจนหยุดชะงัก เสียงร้องอย่างตกใจของม้าทำให้เขาต้องตะเกียดตะกายชะโงกหน้าออกไปดู ที่แท้เจ้าคนที่ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างๆ เป็นเจ้ามือใหม่นี่เอง


          “เฮ้ ระวังหน่อยสิวะ” เขาว่าใส่เด็กชายซึ่งคงอายุราวสิบสามสิบสี่ปี


          ทว่าผู้ที่ถูกก่นด่ากลับไม่สนใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆซึ่งอยู่ภายนอกกระโจมซึ่งมองไปยังเบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับหยิบอาวุธของตนขึ้นมา


          หนุ่มน้อยสบถคำหยาบคายยาวยืดขณะที่ควานหาปืนยาวที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา มันเป็นสมบัติประจำตระกูลชิ้นสุดท้ายที่เขามีเหลือเพราะสมบัติชิ้นอื่นๆ ต่างถูกขายไปเพื่อประทังชีพในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากหมดแล้ว


          มือหนารีบบรรจุกระสุนอย่างร้อนใจ ก่อนรีบเปิดม่านด้านที่ติดกับสารถีออก


          ฉิบหายแล้วไหมละ!


          ภาพของกลุ่มชายร่างใหญ่นับสิบบนหลังม้าอยู่เบื้องหน้ากองคาราวาน พวกมันสวมชุดเกราะและพกทั้งดาบและปืน และที่แย่ที่สุดพวกมันมีจำนวนมากกว่าพวกเขาถึงสองเท่า


          จริงอยู่ว่าหนทางที่ดีที่สุดคือยอมแพ้ แต่จะให้พวกเขาซึ่งประกอบอาชีพคุ้มกันผู้เดินทางทำเช่นนั้นได้อย่างไร มีหวังได้ตกงานไม่มีคนจ้างกันพอดี


          ถ้าเลือกได้เขาคงไม่มาประกอบอาชีพบ้าๆ อย่างนี้หรอก แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่แล้วงานก็ไม่มีให้เลือกมากนัก


          เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งในหมู่พวกเขาเดินก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับวางอาวุธลงพื้น เด็กหนุ่มเห็นปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือหัวหน้าผู้คุ้มกันของพวกตน


          เหล่าสหายผู้ร่วมงานต่างลดอาวุธในมือของตนเมื่อเห็นผู้เป็นหัวหน้ายกมือขึ้นเป็นคำสั่ง ทว่าเด็กหนุ่มที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเกวียนกลับยังกำอาวุธแน่น ดวงตาสีดำอย่างชาวเหนือจ้องตรงไปยังแขกไม่ได้รับเชิญนั่นก่อนจะเห็นตรารูปแปดเหลี่ยมทำจากเงินสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายชวนแสบตา


          คนเหล่านี้เป็นตำรวจหลวงของทางการ


          ผู้มาเยือนคนหนึ่งในหมู่พวกนั้นล้วงหยิบม้วนกระดาษก่อนกางมันออกมาให้ทุกคนเห็นภาพวาดของอาชญากร ซึ่งเป็นชายคนหนึ่งซึ่งมีจุดเด่นที่แผลเป็นบากที่ตรงกลางใบหน้าซึ่งแสยะยิ้มอย่างดุร้าย


          หัวหน้าของเด็กหนุ่มพยักหน้ารับหลังจากที่ฟังความตำรวจตรวจแผ่นดินเหล่านั้นจบ เนื่องจากอยู่ห่างเกินระยะได้ยิน เด็กหนุ่มจึงไม่อาจรู้ในสิ่งที่พวกเขาพูด แต่เขาก็เข้าใจดีว่าตำรวจกลุ่มดังกล่าวย่อมต้องการขอตรวจค้นกองคาราวาน


          เหล่าผู้คุ้มกันกระโดดลงจากหลังม้าและรีบเบิกทางให้กับเหล่าตำรวจ และทันใดนั้นเองที่ผ้าม่านเกวียนของเขาถูกเปิดออกเผยให้เห็นตำรวจสามนายซึ่งกำลังมองมาที่เขาอยู่


          พวกเขารีบลากเด็กหนุ่มออกมาจากเกวียนเพื่อตรวจค้น


          “เจ้านี่เป็นใคร” หนึ่งในพวกเขาถามหัวหน้าผู้คุ้มกัน ผู้ซึ่งรีบก้าวเข้ามาอธิบายทันทีเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น


          “หนึ่งในพวกเราขอรับ มันทำหน้าที่เฝ้ากะดึกเลยต้องนอนพักในเกวียน”


          ตำรวจนายนั้นเลิกคิ้วก่อนจะมองสำรวจร่างกายของหนุ่มน้อย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะโดยปกติแล้วคนหนุ่มซึ่งสมบูรณ์แข็งแรงเช่นเขามักจะหนีความลำบากโดยการเข้าไปอยู่กับกองทัพหรือกรมตำรวจหลวงมากกว่ามาตรากตรำทำงานที่ยากลำบากเช่นนี้


          เด็กหนุ่มจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าตำรวจเหล่านั้นหาได้สนใจเพราะต้องรีบไปตรวจตราต่อ ร้อนถึงหัวหน้าต้องรี่เข้ามาตบกะโหลกสั่งสอนสักที


          “โอ๊ย มันเจ็บนะลุง!” ผู้อ่อนอาวุโสกว่าโอดครวญ


          หัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนมองเจ้าหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเขียวปั๊ด


          “ใครสั่งใครสอนให้หาเรื่องใส่ตัวแบบนั้นวะ” ชายวัยปลายสามสิบขึ้นเสียงอย่างรู้สึกฉุน “ข้ารู้ว่าเอ็งไม่ชอบพวกมันแต่หัดเก็บอาการหน่อยเถอะ ข้ายังไม่อยากส่งศพเอ็งกลับบ้านนะโว้ย!”


          มาณพน้อยหน้างอเมื่อถูกสั่งสอนเช่นนั้น เขาเกลียดคนของทางการจึงตัดสินใจติดตามอ้อนวอนหัวหน้าซึ่งเป็นญาติห่างๆ ฝ่ายมารดาเพื่อทำงานร่วมกับกองคาราวาน แน่ล่ะว่าพ่อแม่ของเขาซึ่งอยากเห็นเขามีอาชีพที่มีเกียรติย่อมไม่มีทางเห็นด้วย เขาก็เลยหนีออกมาดื้อๆ และบีบให้ลุงคนนี้ต้องยอมรับเขาเป็นลูกน้องจนได้


          “ก็ได้ๆ” เขารับปากอย่างขอไปที “เรายังไม่ได้ทันข้ามเทือกเขาไปเลยแต่กลับมีตำรวจมาเฝ้าระวังแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลุง”


          ชายวัยกลางคนมองหลานชายห่างๆ ของตนอย่างเบื่อหน่ายก่อนเสือกแผ่นป้ายประกาศซึ่งตำรวจมอบให้ให้กับเขา


          เด็กหนุ่มคลี่กระดาษออกเผยให้เห็นใบหน้าของนักโทษ เมื่อพิศดูใกล้ๆ เขาก็พบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นที่ต้องการของทางการคนนี้หน้าตาดีและมีลักษณะเจ้ายศเจ้าอย่างต่างจากชาวบ้านทั่วไป จึงรีบอ่านรายละเอียดข้างล่างภาพด้วยความสนใจ


          “อากร อดีตเจ้าเมืองไตรตึงค์ ข้อหากบฏ รางวัลนำจับห้าสิบเหรียญทองคำ สูงสามศอกหนึ่งคืบสี่นิ้ว” เขาออกเสียงก่อนส่งกระดาษคืนให้กับลุง “เหอะ รายละเอียดแค่นี้แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเจ้านี่ทำความผิดอย่างที่ว่าจริง บางทีเจ้าบ้านี่อาจจะแค่ไปด่าพ่อล้อแม่พวกในสภาก็ได้”


          เมื่อได้ยินดังนั้นผู้เป็นลุงก็ขยี้ปลายเท้าของเจ้าหนุ่มปากมากทันที


          “มันไม่ตลกนะยาปน*” ฝ่ายที่สูงวัยกว่ารีบสั่งสอนก่อนอีกฝ่ายจะเปิดปากครวญ “หุบปากของแกให้สนิทเถอะน่า เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราแล้ว”


          หนุ่มน้อยนามยาปนสบถในลำคอก่อนสาวเท้าไปทางอื่น แต่โชคร้ายที่ไม่ว่าจะเดินเลี่ยงไปทางไหนก็เห็นแต่พวกตำรวจที่กำลังตรวจตราผู้คนและสินค้าในเกวียนเล่มต่างๆ


          สายตาของหนุ่มน้อยหันกลับไปจึงสบเข้ากับร่างของชาวมหาทวีปคนนั้นอีกครั้ง ชายแปลกหน้าคนนั้นกำลังถูกตำรวจสามนายรุมล้อมอยู่และดูมีท่าทางไม่พอใจนัก


          ยาปนยิ้มเผล้เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาลอบมองลุงของตนจนแน่ใจว่าตนนั้นไม่ได้อยู่ในการสังเกตของลุงแล้ว จึงรีบย่างสามขุมมาทางพวกเขาทันที


          “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เขาแสร้งเอ่ยถามตำรวจเหล่านั้น


          นายตำรวจเหล่านั้นเป็นกลุ่มเดียวกับที่ไล่ให้เขาออกจากเกวียนเพื่อตรวจค้น จึงจำเขาได้เป็นอย่างดี


          “ลูกค้าของเจ้าไม่ยอมแสดงตัวให้พวกข้าเห็นหน้านะสิ”


          เด็กหนุ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าดวงตาสีเทาเข้มอย่างคนต่างถิ่นย่อมแสดงให้พวกเขารู้ว่านักเดินทางผู้นี้ไม่ใช่คนเดียวกับนักโทษคนนั้นแน่ แต่ลักษณะพิเศษเช่นนี้ก็นำมาซึ่งความเดือดร้อนมาสู่นักเดินทางมากกว่า เพราะหลังการล่มสลายของประเทศ ชาวมหาทวีปเช่นเขาก็เป็นที่รังเกียจของชาวศารทะโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งยาปนเองก็เคยได้ยินข่าวเรื่องที่เจ้าพนักงานชอบรังแกชาวเหนือที่เข้ามาในเขตแดนของศารทะอยู่บ่อยครั้ง


          “เจ้านี่นะหรือขอรับ พวกท่านอย่าได้ใส่ใจมันเลยดีกว่า  มันเป็นโรคเนื้อเน่าน่ะนายท่าน พวกเราสงสารเลยให้ร่วมขบวนมาเป็นแรงงานด้วย”


          ด้วยความคึกคะนองและไม่ชอบขี้หน้าตำรวจเป็นทุน ยาปนจึงโกหกกับพวกเขาเพราะนึกสนุกเมื่อเห็นนายตำรวจเหล่านั้นรีบถอยหลังด้วยความกลัว


          “มันเองก็สูงไม่ถึงสามศอกหนึ่งคืบด้วยซ้ำ แต่ถ้าท่านต้องการเห็นข้าจะให้มันแสดงตัวก็ได้นะ...”


          “ไม่ต้องแล้ว” หนึ่งในนั้นกระชากน้ำเสียงอย่างอารมณ์เสียระคนหวาดกลัว พวกเขารีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะติดโรคร้ายแรง


          ยาปนยิ้มเยาะอย่างสะใจก่อนหันไปทางเพื่อร่วมทางซึ่งตนช่วยไว้ แต่ก็พบว่าคนที่ตนทำคุณด้วยเดินเลี่ยงไปอีกทางแล้ว


          เด็กหนุ่มคนเดินไล่ตามเขาไปแล้วหาก ผู้เป็นลุงไม่เดินเข้ามาขวางเสียก่อน


          “รีบขึ้นเกวียนได้แล้ว เราจะออกเดินทางต่อ” ชายวัยกลางคนรีบดันหลังให้เขากลับไปขึ้นเกวียนอย่างเก่า


          หนุ่มน้อยก้าวขึ้นเกวียนอย่างเสียไม่ได้เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ทว่าดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่บุรุษคนนั้นซึ่งขึ้นหลังม้าของตนก่อนจะหายไปลับตาที่ด้านหน้าของขบวนเดินทาง


          ในที่สุดความง่วงและความอ่อนล้าก็เอาชนะเด็กหนุ่ม ยาปนอ้าปากหาวก่อนเอนกายลงบนบนกองพรม ปล่อยให้เกวียนที่แล่นไปตามถนนขรุขระกล่อมไกว่เขาราวกับกำลังนอนอยู่ในเปล




          เสียงโลหะกระทบกันปลุกหนุ่มน้อยให้ตื่นจากนิทรารมณ์และพบว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ยาปนอ้าปากหาวก่อนบิดขี้เกียจแล้วก้าวออกมาจากเกวียนซึ่งจอดสนิทเพราะไม่อาจเสี่ยงเดินทางข้ามภูเขาในยามค่ำคืน


          เขาหลับยาวด้วยความเหนื่อยล้าโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยง แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องรับหน้าที่เฝ้าเวรจนเช้าและต้องทำอาหารเลี้ยงคนทั้งกองคาราวาน


          พวกเขาในขณะนี้หยุดพักกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในหุบเขา ยาปนซึ่งเดินทางมากับกองคาราวานเป็นปีแล้วรู้สึกคุ้นเคยกับมันดีเนื่องจากที่แห่งนี้เป็นจุดพักระหว่างทางซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางที่ต้องการเดินทางระหว่างทิศตะวันตกและตะวันออกของประเทศ ซึ่งถูกคั่นด้วยเทือกเขารัตสิงขรอันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและโจรภูเขาที่จ้องฉวยทรัพย์สินจากเหล่าพ่อค้าผู้มั่งมี


          แสงจากกองไฟเรียกให้เขาเดินตามไปจนพบเหล่าผู้ร่วมเดินทาง ใครคนหนึ่งในหมู่เพื่อนร่วมงานส่งถังน้ำดื่มสะอาดที่เพิ่งตักจากบ่อน้ำให้เขา


          ยาปนดับกระหายและล้างหน้าของตนด้วยน้ำในถังแล้วเช็ดใบหน้าของตนด้วยผ้าขาวม้าก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ ด้วยความรู้สึกที่สดชื่น


          ที่กลางกองไฟมีหม้อน้ำส่งควันสีขาวและเสียงปุดๆ ของน้ำเดือดทว่ากลับยังไม่มีกลิ่นหอม บอกให้เขาซึ่งกำลังหิวว่าอาหารเพิ่งถูกปรุง ทว่าในยามนี้มันหาได้เป็นสิ่งที่เขาสนใจที่สุดไม่


          ดวงตาสีดำราวกับปีกแมลงสะท้อนเปลวไฟสอดส่องหาท่ามกลางหมู่คน เขาเดินผ่านผู้เป็นลุงซึ่งโดยปกติเขามักจะนั่งกินอาหารอยู่ข้างๆ ไป ก่อนจะหยุดที่บริเวณช่องว่างที่ห่างออกไป


          และที่นั่นเองซึ่งชาวเหนือซึ่งเขาได้ช่วยเหลือไว้กำลังนั่งเหลากิ่งไม้อยู่เพียงลำพัง


          มือของเด็กหนุ่มฉวยผลงานของชายแปลกหน้ามาพิจารณาทันที แม้เป็นเพียงเค้าโครงแต่อาศัยแสงจากกองไฟเขาก็มองออกว่าเป็นตุ๊กตาเครื่องรางพื้นเมือง


          “ฝีมือดีนี่นา” ยาปนกล่าวก่อนโยนโครงตุ๊กตาคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของซึ่งรับมันไป


          ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากของบุรุษแปลกหน้าและนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสนใจมากขึ้น เขาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายโดยที่ไม่ขออนุญาตสักนิด


          “ชาวมหาทวีปอย่างท่านมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ถ้าข้าเป็นท่านข้าคงเดินทางไปทางวรรษประเทศเพื่อลงเรือกลับบ้านไปแล้ว” เขาเปรยถาม


          “ตอบข้ามาสักนิดเถอะน่า อย่างน้อยข้าก็ช่วยท่านไว้นะ”


          มือซึ่งกำลังเกลาผลงานหยุดนิ่งไปเล็กน้อย


          “ฉันไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้นสักหน่อยนะ เจ้าหนู”


          น้ำเสียงแปร่งกังวาลแบบชาวต่างถิ่นนั้นไม่สามารถบ่งบอกถึงเพศของผู้เป็นเจ้าของอย่างแน่ชัด แต่นั่นหาได้เป็นสิ่งที่ยาปนสนใจไม่ เขาสนใจเพียงแต่ว่าในที่สุดบุรุษต่างถิ่นผู้นี้ยอมเปิดปากคุยกับเขาสักที


          “ใจดำจริงเลยนะ” ยาปนหัวเราะ “คนอย่างพวกท่านเป็นแบบนี้กันหมดหรือเปล่า”


          ชาวต่างชาติมองมาที่อีกฝ่าย และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มเห็นดวงตาของเขา มันไม่แสดงออกถึงความเป็นมิตรเลยสักนิด


          “คนแต่ละคนมีความแตกต่างเช่นไร เราก็ไม่อาจตัดสินคนชาติใดชาติหนึ่งว่าเป็นเช่นนั้น”


          เมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายตำหนิยาปนก็เข้าใจและรีบยกมือแก้ต่างให้กับตนเองทันที


          “อย่าพูดเช่นนั้นสิ ข้าไม่ได้เป็นพวกรังเกียจคนต่างชาตินะ” เขารีบกล่าวเพราะเกรงว่าจะไม่อาจคุยกับบุรุษต่างถิ่นได้อีก อันที่จริงเขามีความสนใจในโลกภายนอกแคว้นเป็นอย่างมาก จึงต้องการอีกฝ่ายยอมถ่ายทอดเรื่องที่เขาประสบมาให้ตนฟัง


          แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดต่อไป จานสังกะสีที่มีซุปอยู่ภายในก็ถูกส่งต่อมาให้เขา และเขาก็จำต้องส่งต่อไปให้กับชายคนนั้นซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ปลายแถวซึ่งรีบรับมันและฉวยขนมปังออกจากตะกร้า ก่อนลุกขึ้นยืน


          “ฉันรู้ว่าเธอต้องการอะไรเจ้าหนุ่ม แต่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”


          น้ำเสียงของชายแปลกหน้านั้นเย็นยะเยือกเช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องมองกลับมาที่ยาปนซึ่งได้แต่อ้าปากจะกล่าวค้านแต่ไม่กล้า


          “สนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ”


          ชาวต่างชาติกล่าวเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินหลบไปกินอาหารอีกทางหนึ่ง


          ยาปนมองตามแผ่นหลังของชายปริศนา แววตาของคนผู้นั้นทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกสนใจและกระหายใคร่รู้มากกว่าเคย


          และสิ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายทั้งหมดในชีวิตของเขา




----------------------------------------------------------------------------


*ยาปน อ่านว่า ยา-ปะ-นะ ค่ะ



สวัสดีค่ะ อย่างที่เคยแนะนำตัวไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนะคะ ว่าเหตุผลหนึ่งที่ฉันย้ายบล้อกมาจาก exteen เพื่อมาลงนวนิยายของตัวเอง

ฉันเป็นคนหัวช้าค่ะและออกจะชอบทำอะไรตามใจตัวเองไปสักหน่อย ดังนั้นอาจจะอัพเดตช้าไปบ้างนะคะ แต่ก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ (เคยลบเป็นร้อยหน้าแบบไม่เสียดายเพราะไม่พอใจบทมาแล้ว) และเรียนเชิญให้ทุกคนร่วมกันวิจารณ์อย่างเต็มที่ได้เลยค่ะ

เล่ห์รบกลรักเป็นนวนิยายแนวจินตนิยายและไพรัชค่ะ โดยอ้างอิงจากโครงนิทานหลายเรื่อง เพียงแต่เรื่องราวจะถูกเล่าผ่านมุมมองของ Villains เท่านั้นเอง ซึ่งฉันจะลงที่นี่ตั้งแต่ภาคสองเป็นต้นไปนะคะ สำหรับใครที่ต้องการอ่านภาคแรก ก็สามารถอ่านได้ที่บล้อกเก่าของฉันได้เลยค่ะ (แต่ลงให้ไม่จบนะคะ)

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่แวะเข้ามา ดิฉันหวังว่าทุกคนจะสนุกสนานนะคะ