วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่2







บทที่๒




          ควันไฟจากถ่านไม้ซึ่งกลายเป็นสีแดงเรืองรองราวกับอัญมณีในเตาโชยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเย็นซึ่งความมืดเริ่มโรยตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ยังคงอบอวลในอากาศแม้มันจะถูกกลืนลงกระเพาะของเหล่านักเดินทางไปหมดแล้วก็ตาม


          ผู้คนนับสิบซึ่งนั่งล้อมวงรอบกองไฟต่างสนทนากันอย่างถูกคอท่ามกลางความมืดที่เริ่มโรยตัว บนใบหน้าที่อ่อนล้าเหล่านั้นปรากฏซึ่งรอยยิ้ม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะพวกเขาผ่านการเดินทางที่ยากลำบากที่สุด นั่นก็คือทางขึ้นเทือกเขารัตสิงขรซึ่งเป็นเขาชันสลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยโจร


          มีเพียงใบหน้าของบุคคลเพียงหนึ่งเท่านั้นซึ่งยังคงปราศจากรอยยิ้ม ต่างจากเพื่อนร่วมทาง ริมฝีปากของชาวมหาทวีปเม้มสนิทไม่สนทนาและแสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


          ดวงตาสีเงินที่ถูกบดบังด้วยเงาจากผ้าโพกศีรษะมองตรงไปยังกองไฟเบื้องหน้า ในความว่างเปล่านั้นปรากฏซึ่งความอ่อนล้าราวกับนักเดินทางซึ่งไม่เคยถึงจุดหมายที่แท้จริง


          เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่เขาร่อนเร่ในดินแดนทางตอนเหนือของอนุทวีป ที่นี่ต่างจากผู้คนทางตอนใต้ ชาวพื้นเมืองมีผมและดวงตาสีดำอันเป็นที่เกลียดชัง


          จริงอยู่ที่เขาสามารถกลมกลืนไปกับคนที่นี่เหมือนประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเกิดของเขา


          ข้ามช่องแคบมรกตอันมั่งคั่งไปยังปลายสุดของแผ่นดินใหญ่ ที่ซึ่งมีหิมะโปรยปรายทุกฤดูหนาวและประชากรผู้มีดวงตาสีเหล็กกล้า ที่นั่นคือที่ๆ เขากำเนิดมาบนโลกใบนี้


          แต่เขาก็ยังไม่สามารถกลับไปยังที่นั่นได้


          “ฮ่า ท่านอยู่ที่นี่เอง!”


          เสียงสดใสของหนุ่มน้อยทำให้คิ้วของคนต่างถิ่นเลิกขึ้นอย่างรำคาญ ตั้งแต่เจ้าคนจากหัวหน้ากองคาราวานนั่นรู้ว่าเขามาจากมหาทวีปก็เอาแต่มายุ่งวุ่นวายกับเขาจนเขารู้สึกรำคาญ


          ยาปนยิ้มแสยะอย่างถูกใจ เขาเองก็เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วไปจึงนึกอยากเอาชนะเจ้าคนต่างถิ่นซึ่งไม่ยอมให้สิ่งที่เขาต้องการ


          เด็กหนุ่มนั่งลงข้างกายคนแปลกหน้าโดยไม่คิดเอ่ยปากขอตามมรรยาทเลยสักนิด


          “ฉันเตือนเธอไปแล้วนะว่าอย่ามายุ่งกับฉัน” คนต่างถิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญอย่างไม่ปิดบัง


          หนุ่มน้อยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนยิ้มยิงฟันขาวให้อีกฝ่าย


          “และท่านก็ไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนี้”


          ชาวมหาทวีปตัดสินใจเงียบคร้านจะเถียงกับเด็กหนุ่มหัวดื้ออีก ยาปนจึงหันไปหยิบเศษกิ่งไม้หักเล่นแก้เบื่อแทน จริงอยู่ที่เขาอยากรู้เรื่องราวทางเหนือจากปากของคนพิลึกข้างๆ แต่ความจริงก็คือเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเก็บซ่อนความหงุดหงิดในใจ


          เป็นเวลากว่าสามวันแล้วหลังจากการเดินทางข้ามเทือกเขาที่ตัดผ่านประเทศนี้ การเดินทางเป็นไปย่างราบรื่นไร้ที่ติ ทว่ายาปนกลับไม่ถูกใจในเรื่องนี้ เพราะอุปสรรคในการเดินทางนี้ถูกคลี่คลายด้วยกองกำลังทหารหลวงซึ่งถูกสั่งการจากเจ้านางอุษาให้ควบคุมการสัญจรระหว่างถนนที่ตัดผ่านเทือกเขาเพื่อมุ่งสู่นครหลวง


          ไม่มีชาวศารทะที่รู้ความคนใดที่ไม่รู้จักเจ้านางอุษา ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แห่งศารทประเทศ ความลำบากหลังสงครามกับมหาอำนาจแห่งภาคกลางอย่างเวียงราชันและมธุรัฐทำให้ระบอบการปกครองล่มสลาย แม้ราชวงศ์ถูกล้มล้าง แต่ปัญหาความอดอยากและการแย่งชิงอำนาจระหว่างขุนนางและผู้ถือครองมันก็ยังคงดำเนินต่อไปราวกับไม่มีวันสิ้นสุด


          ชาวศารทะทุกคนต่างต้องผิดหวังเมื่อการปกครองแบบสาธารณรัฐเช่นเดียวกับแคว้นใกล้เคียงนั้นประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกที่ผลจะออกมาในรูปนั้นเพราะความเย่อหยิ่งในเกียรติภูมิอย่างไม่อาจจมลงของชาวศารทะนั้นเองที่ไม่สามารถทำให้ระบบดังกล่าวเป็นไปได้ทันต่อสถานการณ์คับขันของบ้านเมือง


          มนุษย์เราในยามจนตรอกย่อมหาทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดปัญหาและอุปสรรคตรงหน้าให้หมดไป แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เคยพยายามและได้ละทิ้งไปแล้วก็ตาม ชาวศารทะเองก็เป็นเช่นนั้น


          ขุนนางส่วนหนึ่งในสภาซึ่งเคยเป็นสมาชิกเก่าแก่ในราชสำนักเดิมตัดสินใจรื้อฟื้นราชวงศ์ขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมิดของความระส่ำระสายทางการเมือง แนวคิดเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งความหวังซึ่งประชาชนไขว่คว้าและสนับสนุนอย่างกว้างขวาง จนการปฏิวัติดังกล่าวสำเร็จลง


          แต่ช่างน่าขัน การรื้อฟื้นราชวงศ์นั้นจะเกิดขึ้นมิได้เลยหากไม่มีราชวงศ์ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวอย่างเจ้านางอุษา


          ก่อนการรัฐประหารล้มล้างระบอบกษัตริย์ รัฐสภาขึ้นตรงอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชกุมารซึ่งสูญเสียพระราชบิดาไปอย่างกะทันหัน เจ้าชายองค์นี้เป็นเพียงทูลกระหม่อมองค์เล็ก มิใช่มกุฎราชกุมาร พระองค์อ่อนแออย่างที่สุดเนื่องจากไม่ได้ทรงถูกเลี้ยงดูมาเพื่อปกครองประเทศ และด้วยสาเหตุนี้เองพระองค์จึงไม่ต่างจากหุ่นเชิดของเหล่าขุนนาง โดยเฉพาะตระกูลของพระมารดา


          เพื่อกำราบขุนนางเหล่านี้พวกเขาจึงจำต้องสำเร็จโทษเจ้าชายและนั่นอาจหมายถึงการสูญสิ้นราชวงศ์แห่งศารทประเทศโดยสิ้นเชิง


          กษัตริย์องค์ก่อนทรงอภิเษกสมรสถึงสองครั้งสองครา ทว่ากลับมีพระราชโอรสธิดาเพียงสามพระองค์เท่านั้น ซึ่งแต่ละพระองค์ก็ล้วนมีพระชนมายุที่สั้นจนน่าใจหาย มกุฎราชกุมารองค์ใหญ่นั้นมีพระชนม์ชีพเยี่ยงบุรุษเจ้าสำราญกระทั่งสวรรคตในวัยหนุ่มเพราะโรคร้ายซึ่งติดต่อจากเหล่าชู้รักทั้งชายหญิงของพระองค์ ส่วนพระอัครราชกุมารีนั้นก็ทรงอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ต่างแคว้นไปเสียแล้ว สิทธิในบัลลังก์จึงตกอยู่กับเจ้านางอุษา ผู้เป็นพระธิดานอกสมรสขององค์มกุฎราชกุมาร


          หากราชวงศ์เดิมยังคงมีอยู่อย่างมั่นคง เจ้านางอุษาคงไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น ทว่าในยามขับขันเช่นนี้ พวกสนับสนุนกษัตริย์ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหยิบยกพระนางซึ่งมีพระสุพรรณบัฎขององค์มกุฎราชกุมารเป็นหลักฐานถึงชาติกำเนิดของตนขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว ซึ่งก็ได้ผลดีจนน่าประหลาดใจเพราะประชาชนทุกคนต่างชื่นชมพระนางและเหล่าทหารต่างก็เป็นหนึ่งเดียวเพื่อรับใช้ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่


          ความจงรักภักดีนี่แหละซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้กับยาปน เขาเกิดในสมัยแห่งความยากลำบากซึ่งอำนาจผลัดเปลี่ยนไปโดยเหล่าบุคคลซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเชื่อมั่น แต่กลับทรยศต่อพวกเขาได้อย่างเลือดเย็นเมื่อหลงใหลกับความสุขสบายส่วนตัว


          ที่แย่ที่สุดคือเด็กหนุ่มไม่เคยชอบอาชีพในกองทัพและเหตุผลบางอย่างทำให้เขาค่อนข้างมีอคติกับอาชีพนี้ เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดจนเผลอไประเบิดอารมณ์ใส่ลูกจ้างคนหนึ่งเขา ลุงของเขาจึงไล่เขาออกมาเสียให้พ้นๆ


          เสียงเพลงจากพิณมาลาดังแว่วมาตามสายลมอย่างชัดเจน ผู้ขับขานบทเพลงดังกล่าวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสุภาพสตรีคนหนึ่งจากฟากหนึ่งของกองไฟซึ่งกำลังขับกล่อมลูกน้อยจอมซนซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตาไม้ และทารกในอ้อมแขนให้หลับใหล


          พิณมาลาเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากดินแดนทางตะวันตกของมหาทวีป มันเป็นเครื่องดนตรีแบบดีดเพียงหนึ่งเดียวที่อนุญาต ไม่สิ ให้เกียรติเฉพาะสตรีเป็นผู้บรรเลงเท่านั้น ซึ่งขัดกับประเพณีพื้นถิ่นของอนุทวีปซึ่งเครื่องดนตรีประเภทสายเช่นนี้จะเป็นเครื่องดนตรีที่สงวนเฉพาะบุรุษในราชสำนักเท่านั้น ชาวอนุทวีปส่วนมากซึ่งเล็งเห็นว่าพิณมาลาเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนชาติที่มีผมและดวงตาสีดำ จึงปฏิเสธที่จะยอมรับเครื่องดนตรีนี้ไปโดยปริยาย


          ชาวต่างถิ่นหลับตาของตนเสียและปล่อยให้บทเพลงอ่อนหวานนั้นผ่านเข้าหูทั้งสองข้างของตนไป เขาปล่อยใจของตนไปตามเสียงของมันซึ่งพาเขาผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาไปถึงคนที่เขาห่วงใยซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป


           ป่านนี้คนที่เขารักจะเป็นเช่นไรหนอ...


          “ชะรอยท่านกำลังคิดถึงสาวงามของท่านกระมัง”


          คำล้อของเจ้าเด็กปากคะนองทำให้นักเดินทางหลุดจากภวังค์แห่งเสียงเพลง เขาหันไปทางมาณพน้อยแล้วยิ้มเย็น


          “ใช่ สวยมากเลยละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงระรื่นเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่เขาจากมาไกล


          “อือฮือ...” ยาปนลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน “คงเป็นคนทางเหนือเหมือนท่านละสิ”


          นักเดินทางนิรนามมองหน้าเจ้าคนสู่รู้ไม่เข้าเรื่อง


          “ถ้าเธออยากรู้ขนาดนั้น เธอก็ควรคายเรื่องของตนออกมาก่อนนะเจ้าหนู”


          น้ำเสียงนั้นไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิดและเจ้าของมันก็ไม่หยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ด้วย


          “ฉันได้ยินพวกเธอพูดคุยกันอยู่บ่อยๆ ครอบครัวของเธออยู่ที่เมืองหลวงสินะ”


          คำพูดของอีกฝ่ายคงกระทบจิตใจของเด็กหนุ่ม เพราะมันทำให้รอยยิ้มของเขาหายไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง


          “ใช่แล้ว ครอบครัวของข้าอยู่เมืองหลวง” เขาตอบแต่ไม่คิดจะตอบคำถามทั้งหมด


          “อือฮือ...” เขาจงใจลากเสียงยาวเหมือนอีกฝ่าย “พ่อแม่คงคิดถึงเธอน่าดู เพราะท่าทางเธอคงไม่ได้กลับบ้านสักเท่าไร”


          ยาปนหัวเราะขัน “มันเป็นเพราะงานของข้า ข้าคิดว่าพวกเขาคงชินชาแล้ว”


          เขาไม่พูดเปล่าเพราะมือขวาหยาบของเขาหยิบดาบสั้นของตนขึ้นมาขัด แสงจันทร์นุ่มนวลสะท้อนกับคมมีดกลายกลับดูเยียบเย็นชวนขนลุก


          เขาอาจฉลาดเฉลียวแต่ยาปนก็เป็นเพียงวัยรุ่นอ่อนประสบการณ์โลก เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้แสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาเสียแล้ว


          นักเดินทางรู้ดีว่าอาการดังกล่าวนั้นเป็นอาการกลบเกลื่อนและเบนความสนใจ เด็กหนุ่มเกลียดที่จะพูดเรื่องนี้อย่างแน่นอน


          มือของคนแปลกหน้าฉวยมือหนาและหยาบกระด้างของยาปนขึ้นมาก่อนจะหดมือของตนกลับใต้แขนเสื้อคลุมยาว เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ


          “ท่าทางเธอมีฝีมือดี” คนแปลกหน้าเอ่ย “เธอน่าจะเป็นทหารนะ บางทีคงสบายกว่า...”


          คราวนี้ยาปนไม่อดทนฟังอีกต่อไป เขายิ้มเย็นและจ้องมองดวงตาอีกฝ่ายด้วยแววตาฉุนโกรธ แน่ละว่าเขาโกรธมาก แต่มันไม่ใช่แววตาร้อนรุ่มของวัยรุ่นอารมณ์ร้อนทั่วไป มันเป็นความโกรธที่เยียบเย็นเสียจนสะกดไม่ให้อีกฝ่ายเจรจาเจื้อยแจ้วให้เขารำคาญใจอีก


          “ข้าต้องจัดการเตรียมความพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้แล้ว” เขาพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างก่อนเดินจากไป


          แทนที่นักเดินทางจะหลบสายตาด้วยความหวั่นเกรง เขากลับมองตามเด็กหนุ่มไป จริงอยู่ที่เจ้าหนุ่มนั่นยอมหุบปากและล่าถอยไปในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นชัยชนะของตน ยาปนต้องพยายามให้เขาตอบแทนในสิ่งที่เขาทำอย่างแน่นอน


          เจ้าของนัยน์ตาสีเทาถอนหายใจก่อนเอนกายลงบนพื้นหญ้านุ่มๆ ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ใต้ท้องฟ้าที่พร่างพรายด้วยแสงดาว


          เขาหวังเหลือเกินว่าการเดินทางครั้งนี้จะสิ้นสุดแต่โดยเร็ว




---***~~ *** ~~***---




          ยาปนกำลังเดินไปมาบริเวณชายป่าอย่างงุ่นง่าน นิสัยชอบเอาชนะหาเรื่องให้เขาอีกตามเคย ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่หาทางแก้มันเสียที


          เขาหย่อนก้นนั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่งและผ่อนลมหายใจช้าๆ คำพูดของเจ้าต่างด้าวนั่นทำให้คิดถึงครอบครัวที่รอคอยเขาอยู่ที่เมืองหลวงอย่างเสียไม่ได้


          ชายคนนั้นพูดถูก ครอบครัวเป็นห่วงเขามากทีเดียว และมันหมายถึงความรำคาญอันใหญ่หลวงสำหรับเขา


          ครอบครัวของยาปนเป็นครอบครัวตัวอย่างของชาวศารทะที่ดี ฟังอาจจะเป็นเรื่องดีแต่มันกลายเป็นโชคร้ายสำหรับเด็กหนุ่มที่รักอิสระอย่างเขา ชาวศารทะเป็นชนชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องชาตินิยมอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าอาชีพทหารจึงเป็นหน้าที่อันดับต้นๆซึ่งเด็กหนุ่มทั้งหลายใฝ่ฝันจะเป็น


          จริงอยู่ที่พวกเขาเย่อหยิ่งกับสายเลือดสีน้ำเงินของตนจนยึดติดกับมันอย่างบ้าคลั่ง แต่การล่มสลายของราชวงศ์ไม่ได้ทำให้ความต้องการหน้าที่การงานในกองทัพลดลงเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ


          และนี่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่เขาเกลียดมันจับใจ


          เสียงซึ่งดังแว่วมาตามสายลมเรียกให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมองทางทิศตะวันออกซึ่งปรากฏแสงไฟจางๆ จากกลุ่มนักเดินทาง หากคราวนี้มันหาใช่เสียงดนตรีแว่วหวานดังเคยไม่ มันกลับไปเสียงโวยวายอลหม่านจนผิดสังเกตและนั่นทำให้เด็กหนุ่มรีบเดินมุ่งตรงไปทางนั้นทันที


          “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


          เขาแผดเสียงถามก่อนที่จะวิ่งไปถึงเสียอีก น้ำเสียงเข้มแข็งองอาจผิดบุคลิกห่ามๆ ดึงความสนใจของทุกคนให้พุ่งตรงมาหาเขาเพียงทางเดียว


          สุภาพสตรีซึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมก้าวออกมา แสงไฟริบหรี่จากกองไฟที่เริ่มมอดส่องกระทบใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งยังคงไหลจากดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างของนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนเดียวกับสตรีผู้ดีดพิณขับกล่อมลูกน้อยที่รอบกองไฟ


          นางตรงมาหาเด็กหนุ่มทันทีเพราะจำได้ว่าเขาเป็นคนงานของหัวหน้ากองคาราวาน


          “ลูกของฉัน ลูกสาวของฉันหายตัวไป”


          ยาปนสบถคำหยาบคายออกมายาวยืดเมื่อรู้ดังนั้น


          “หายไปได้ยังไง แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร” เขาถามมารดาของเด็กน้อย ผิดกับคำสบถเมื่อครู่เขาถามนางด้วยเสียงที่อ่อนโยนและผ่อนคลาย


          หญิงสาวสะอึ้นจนตัวโยน ความตกใจทำให้นางกลัวจนควบคุมสติไม่อยู่และนั่นทำให้นางใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยคำตอบออกมา


          “ขะ ข้าไม่รู้ ข้าเพียงเอาเจ้าตัวเล็ก ไปนอนบนเปลเมื่อกี้” นางกล่าวอย่างสับสนถึงลูกคนเล็ก “พอข้าหันมานางก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าคิดว่านางอาจจะหลงเข้าไปในป่า นางชอบดอกไม้แต่ข้าห้ามนางแล้ว นางคงจะดื้อดึง”


          เด็กหนุ่มขยี้ผมบนศีรษะ เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ ก่อนรีบเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่เดินทอดน่องตรงมาพร้อมกับคุยหยอกล้อกันอย่างสบายใจทันที


          “พวกแกอยู่เวรยามกันภาษาอะไร” เขาตรงไปผลักหนึ่งในคนเหล่านั้นซึ่งเดินมาจากทางหกนาฬิกา “เด็กผู้หญิงหายตัวไปจากที่นี่!”


          พวกยามได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างลนลาน พวกเขาอายุไม่ต่างจากยาปนสักเท่าไรนักแม้จะอายุมากกว่าก็ตามแต่พวกเขาก็เป็นแค่คนงานใหม่ในกองคาราวานและรู้ดีว่ายาปนมีฐานะที่แตกต่างจากตน


          “รีบไปบอกลุงของข้าสิ” ยาปนตวาดใส่พวกเขาที่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก “คนที่เหลือรีบไปรวบรวมคนให้ได้จำนวนหนึ่ง เราจะไปตามหาเด็กในป่า”





          ใบไม้และผิวน้ำต่างนิ่งสนิทประหนึ่งถูกหยุดเวลาไว้อยู่กับที่ ป่าในยามนี้คงเงียบสงัดและสงบเช่นนี้ต่อไปหากไม่มีกลุ่มชายฉกรรจ์กล่ำกรายเข้ามาพร้อมกับคบไฟในมือ


          ชื่อของเด็กน้อยถูกเอ่ยขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่มือของพวกเขาฟาดฟันกิ่งไม้น่ารำคาญไปให้พ้นสายตา


          “กระจายกันไปทางตะวันตกสิ” ผู้ช่วยของหัวหน้ากองคาราวานซึ่งถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วนตะโกนกร้าว


          ยาปนไปคนแรกที่ก้าวเดินไปตามคำสั่งนั้น การตามหาตัวเด็กหญิงนั้นดำเนินมานานหลายชั่วโมงแล้วและพวกเขาจะไม่หยุดตามหาเธอจนกว่าจะรุ่งสาง


          ลุงของเด็กหนุ่มไม่ได้นำกลุ่มค้นหาเนื่องจากเขาเป็นผู้นำของนักเดินทางและเป็นผู้ถูกว่าจ้างรายใหญ่ เขาจึงต้องอยู่ควบคุมสถานการณ์บริเวณที่พัก และรอคอยตำรวจหลวงซึ่งประจำอยู่ตามทางหลวงบนภูเขา


          หากพวกเขาไม่สามารถหาตัวเด็กหญิงได้ พวกเขาก็ต้องบอกลาอาชีพนี้ เพราะคงไม่มีใครอยากว่าจ้างกองคาราวานที่ปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หายตัวไปหรอก


          ใบหน้าของคนงานแทบทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล รวมถึงเหล่าคนงานหนุ่มด้วย คนในวัยของพวกเขามักสมัครเข้ากองทัพหากไม่สืบทอดกิจการครอบครัว แต่คนเหล่านี้ไม่มีธุรกิจให้สืบทอด บางคนมีครอบครัวใหญ่และคนเฒ่าชราให้ดูแลจนไม่อาจร่วมกองทัพ และบางคนก็ถูกขับไล่ออกมาจากกองทัพ หากพวกเขาสูญเสียงานไปพวกเขาจะอยู่ต่อไปได้อย่างใด


          ยาปนต่างจากคนเหล่านี้ เขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้น สิ่งที่เขารู้สึกกังวลมากที่สุดมีเพียงสวัสดิภาพของเด็กหญิงตัวน้อยเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เขาจึงยังคงสติได้มากกว่าผู้อื่น


          เสียงไม้แตกหักทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันมามองที่เท้าซึ่งสวมบู้ทหนังตุ่น มันคือซากตุ๊กตาไม้ที่เขาเห็นเด็กหญิงคนนั้นเล่นรอบกองไฟนั่นเอง


          แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทิ้งร่องรอยให้เห็นบนพื้น...


          หนุ่มน้อยผิวปากเสียงแหลมสูงและโบกคบไฟเป็นสัญญาณให้ผู้ช่วยของลุงตรงมาหาเขา ก่อนจะอาศัยแสงไฟชี้ไปที่รอยเท้าหลายคู่บนพื้น โชคดีที่น้ำค้างยามค่ำทำให้รอยเท้าถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างชัดเจน แม้มันจะเป็นพื้นแข็งบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ตาม


          ยาปนก้มลงแตะรอยเท้านั้น ดินบริเวณนั้นยังชื้น บ่งบอกว่ามันเป็นรอยเท้าที่เพิ่งถูกเหยียบไม่นาน เจ้าของมันคงเดินเท้าจากไปไม่ไกลอย่างแน่นอน


          คิ้วของชายวัยกลางคนผูกแน่นเมื่อพินิจมันอย่างชัดเจน รอยเท้าดังกล่าวนั้นมีขนาดใหญ่โตและมีรูปทรงแบบที่บุรุษใช้


          จริงอยู่ว่าทหารหลวงรับพระราชโองการแห่งเจ้านางให้มาอารักขาผู้คนบนถนนหลวงที่มุ่งไปสู่นครหลวง เพื่อต้อนรับและแสดงน้ำใจต่อราษฎรผู้ภักดีต่อพระนางซึ่งพากเพียรมาเข้าเฝ้าในพระราชพิธีราชาภิเษกซึ่งจะถูกจัดในเร็ววันนี้ ทว่าพวกโจรป่าที่เคยดักปล้นอยู่ตามเส้นทางก็มิได้ล้มหายตายจากไปไหน พวกมันเพียงแค่ซ่อนตัวเพื่อรอเวลาให้ผ่านพ้นไป และที่กบดานใดเหล่าจะดีไปยิ่งกว่าผืนป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและต้นไม้สูงใหญ่ที่บดบังพวกมันให้พ้นจากสายตาของทางการอีกเล่า


          ดวงตาสีดำสนิทของชายวัยกลางคนมองไปที่ยาปนอย่างรู้ทัน


          “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และข้าขอเตือนเจ้าในฐานะมิตรคนหนึ่งว่าอย่าเสียดีกว่า”


          ทว่ายาปนไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาและไม่กลัวที่จะแสดงมันออกมาด้วย


          “แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ ปล่อยเด็กคนนั้นไปให้พวกบ้านั่นย่ำยีเหรอ”


          ผู้ช่วยของผู้คุมกองคาราวานส่ายหน้า “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่เจ้าแค่ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของพวกเราก็พอ”


          เด็กหนุ่มจ้องตาอีกฝ่าย แววตาของเขาดุกร้าวและจริงจังอย่างที่ยากจะปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์เยี่ยงนี้


           “ชีวิตของข้าเป็นของข้า และข้าก็มั่นใจว่าข้าดูแลตัวเองได้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอดกลั้นไม่ใช่อดทนก่อนวาดมือชี้ไปทางคนงานคนอื่นๆ “ดูเจ้าพวกนั้นสิ ส่วนมากเจ้าพวกนั้นก็เพิ่งถูกรับเข้ามาใหม่จะทำงานได้ดีสักแค่ไหนเชียว”


          ชายวัยกลางคนเยื้อนริมฝีปากแต่ก็ต้องหุบปากของตนเสีย แม้จะขัดใจแต่ยาปนก็พูดถูก


          “แม่ของเจ้าต้องฆ่าข้าแน่ๆ” เขาบ่นแต่ก็ยอมแต่โดยดี


          “พวกเรามารวมกลุ่มกันทางนี้”


          ชายวัยกลางคนจัดการแบ่งคนออกเหลือเพียงครึ่งเดียวก่อนออกคำสั่งให้คนอื่นๆ รีบกลับไปแจ้งต่อผู้เป็นเจ้านาย คนที่เขาเลือกนั้นส่วนมากเป็นลูกจ้างเก่าของกองคาราวานหรือไม่ก็เป็นพวกทหารที่ถูกปลดประจำการ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะพวกเขามีความชำนาญในการสะกดรอยในความมืด


          คณะผู้ตามหาจำต้องดับคบไฟของตนเสีย พวกเขาก้าวอย่างระแวดระวังอย่างเงียบเชียบ


          สายน้ำอาจวิ่งไหลเอื่อยกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ทว่าเสียงที่ถูกกลืนหายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินเข้าป่าไปถึงทางลาดซึ่งลำธารคดเคี้ยวไปตามโขดหินส่งเสียงใสเย็นสบายแว่วมาแต่ไกล


          เสียงหวีดร้องดังแหวกผ่านอากาศเรียกให้ทุกคนรู้สึกขนลุกซู่ มันเป็นเสียงของเด็กหญิงอย่างแน่นอน


          ยาปนซึ่งเด็กที่สุดในหมู่พวกเขาสะกดความร้อนใจ เขาเผลอก้าวไปข้างหน้าถึงสองเท้าก่อนจะชะงัก


          เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ กับตัวเองขณะค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวังมากขึ้นพร้อมกับแหวกกิ่งไม้ไปให้พ้นจากสายตา


          เสียงปะทะของดาบดังขึ้นเป็นสัญญาณแรกท่ามกลางความมืดมิด คณะผู้ค้นหาทุกคนกำอาวุธในมือจนแน่น รวบรวมสมาธิ


          พวกมันรู้ตัวแล้วว่าพวกเขาตามหาพวกมันจนพบ ทั้งสองฝ่ายต่างเจ้าต่อสู้กัน พวกโจรแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดกุมและมีสีเข้มทำให้ยากต่อการมองเห็น ทว่ากลุ่มคณะค้นหาก็สวมเสื้อผ้าสีโทนด้วยกัน แสงจันทร์ที่สะท้อนบนคมดาบจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นการปะทะอย่างชัดเจนที่สุด


          ยาปนถีบคู่ต่อสู้ที่เพิ่งถูกเขาปลดอาวุธสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปก็เข้ามาแทนที่ในพริบตา ดวงตาคู่โตวาววับเบนหนีออกจากอีกฝ่ายไปทางสิบนาฬิกาและเห็นเงาร่างๆ ของคนร้ายซึ่งกำลังวิ่งอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียงขณะหนีจากไป โดยที่ไม่มีใครสักคนสังเกตเห็น


          ไอ้พวกเลวนี่ต้องการถ่วงเวลาลักพาตัวเด็ก


          ทันทีที่สลัดโจรซึ่งพลาดท่าให้เขา ยาปนก็รีบวิ่งกวดเจ้าหัวขโมยเด็กคนนั้นไปทันที หัวขโมยคนนั้นต่างจากเพื่อนคนอื่นๆของมัน มันมีรูปร่างเล็กและโปร่งเหมาะกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว และนั่นทำให้ยาปนรู้ว่าเจ้าโจรเหล่านี้จะต้องเตรียมการมาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว


          เสียงบางสิ่งวิ่งฉิวเฉียดผ่านปลายจมูกและทิ้งแผลบนแก้มขวาของเขา


          รัศมีจันทร์ริบหรี่ใต้ต้นไม้แสดงเจ้าสิ่งนั้นซึ่งตกบนพื้นให้เห็นรางๆ ทว่ายาปนก็แน่ใจว่ามันคือสิ่งใด


          มันคือลูกธนู


          เด็กหนุ่มรีบหลบตามต้นไม้ต่างๆ โดยพยายามเคลื่อนไหวให้เงียบและเร็วที่สุด


          เจ้าคนต่างชาตินั่นคิดถูกว่าเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ติดสอยลุงเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันกองคาราวานไปยังที่ต่างๆ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเทพเจ้าที่สามารถแยกร่างรุมต่อสู้กับโจรเจ้าถิ่นที่ซุ่มอยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้หรอก


          เสียงธนูถูกยิงอีกหนึ่งดอกและตามด้วยเสียงหนักๆ ของร่างมนุษย์ซึ่งทรุดลงกองกับพื้นบริเวณข้างหลัง


          ยาปนประเมินสถานการณ์ของตน เขารู้ว่าตนเองควรจะเดินหนีไป ทว่าความต้องการเอาชนะก็ทำให้เขานิ่งอยู่กับที่แม้จะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็ตาม


          เสียงธนูที่ปักยังเป้าหมายและเสียงสิ่งของซึ่งร่วงหล่นกับพื้นยังคงดังขึ้นอีกสามครั้งก่อนจะตามมาด้วยเสียงโอดครวญสุดท้าย


          พุ่มไม้ข้างหน้าของหนุ่มน้อยสั่นไหว ยาปนเลิกคิ้วเมื่อคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายจะหนีกลับมาทางเดิม บางทีมันอาจจะคิดว่ากำจัดศัตรูหมดแล้วกระมัง


          มือของเด็กหนุ่มกุมดาบแน่น เตรียมพร้อมสำหรับการรณรงค์ เขาจะทำให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นคิดผิดอย่างแน่นอน


          ดาบของเด็กหนุ่มวาดบนอากาศสะท้อนเงาวาววับอย่างงดงาม ทว่ามันกลับต้องหยุดอยู่กลางอากาศอยู่เช่นนั้นเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเต็มตา


          บุคคลตรงหน้าเขานั้นสวมเสื้อผ้าสีเข้มแต่สะดุดตาด้วยการโพกศีรษะอย่างเป็นแบบฉบับของศิศิราลัย ที่มือซ้ายนั้นกอบกุมมือของเด็กหญิงที่พยายามซุกร่างของเขาไว้แน่น


          เขาคือเจ้าพวก นายธนาคาร คนนั้นนั่นเอง


          “เธอกำลังทำแม่หนูคนนี้กลัวนะ” เสียบเยียบเย็นเปี่ยมด้วยอำนาจของเขากล่าวเตือน “ลดดาบลงซะ”


          ยาปนลดดาบลงตามคำขอนั้น สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในยามนี้กลับเป็นอาวุธที่อยู่ในมือขวาของคนต่างถิ่น


          เด็กหนุ่มมองคันธนูซึ่งเป็นคนธนูแบบที่ชนพื้นเมืองใช้ล่าสัตว์ ซึ่งต่างจากธนูของเหล่าทหารก่อนจะแหวกพุ่มไม้บริเวณซึ่งทั้งสองจากมา แสงจันทร์ขมุกขะมัวเผยเห็นเห็นกองอะไรบางอย่างซึ่งขยับได้และน่าจะเป็นมนุษย์ซึ่งกำลังบาดเจ็บ และพวกนั้นก็ไม่ใช่สมาชิกกองคาราวานแต่อย่างใด


          ฝีมือของนักเดินทางคนนี้เยี่ยมยอดเช่นเดียวกับเขา ไม่สิ บางทีประสบการณ์ชีวิตที่สูงกว่าต้องทำให้เจ้าคนประหลาดนี่เก่งกาจกว่าเขาอย่างแน่นอน


          “ธนูเมื่อกี้ฝีมือท่านสินะ” เขากล่าวโดยไม่มีการล้อเล่นในน้ำเสียง อันที่จริงเขาดูจริงจังจนน่ากลัว “ท่านมาได้อย่างไร”


          คำตอบที่ยาปนได้รับกลับเป็นการถูกผลักเบาๆ


          “ใช่ และฉันขอเตือนเธออีกครั้งนะพ่อหนุ่ม เด็กคนนี้กำลังตกใจ พวกเราควรจะรีบพานางกลับไปหาครอบครัวให้เร็วที่สุด”


          นี่คือการตัดบท พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย


          ยาปนซึ่งเดินออกมาสู่ลานโล่งซึ่งพวกเขาเคยต่อสู้กับกองโจร เขาพบว่าบัดนี้พวกโจรได้กลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่พวกสมาชิกกองคาราวานซึ่งกำลังยืนหอบหายใจหลังจากการรณรงค์ที่ไร้ประโยชน์


          ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ช่วยของลุงเดินมาหาพวกเขาทันที ดวงตาสีดำอย่างชาวพื้นเมืองเช่นเดียวกับยาปนมองไปที่คนต่างด้าวกับเด็กหญิงอย่างสงสัย


          “รีบพานางกลับไปเถอะ” นักเดินทางปริศนากล่าวเบนความสนใจนั่นเสีย


          นั่นไม่ใช่คำสั่งแต่เขาพูดในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น เขานำเด็กน้อยมอบให้กับผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานและก้าวถอยหลังกลืนไปกลุ่มคนอื่นๆ


          ยาปนยักไหล่ให้กับลูกน้องคนสนิทของลุงและเดินตามไป


         ดวงตาของเขายังคงเหลือบมองไปที่เจ้าของดวงตาสีเทาซึ่งยังคงรบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ความอยากรู้ของเขาถูกเพิ่มพูนให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก


         เขาต้องอดทนมากกว่า เพราะคนๆ นี้รู้ดีว่าเขาต้องการอะไร และเขาจะทำให้อีกฝ่ายคายปริศนาของตนเองมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม





          ในที่สุด ดาวประจำเมืองทางด้านทิศตะวันตกที่เคยปรากฏทางทิศตะวันตกระหว่างมื้อเย็นก็หายตัวมาเป็นดาวประกายพรึกทางด้านทิศตะวันออกซึ่งบอกเวลาใกล้รุ่งแล้ว



          คณะผู้ค้นหากลับมาด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าพวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดีว่าธุระของตนยังไม่จบสิ้น เพราะเมื่อพวกเขากลับไปถึง กองทหารของทางการต้องรอคอยสอบปากคำพวกเขาอยู่อย่างแน่นอน


          รอยยิ้มทะเล้นเริงร่าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยาปนถูกช่วงชิงให้หายไปตามกาลเวลาที่พ้นผ่าน เขากำลังอารมณบูดและไม่สนใจที่จะปกปิดมัน ทุกคนรู้ดีว่าเขาไม่ชอบทหารและตำรวจของทางการแม้จะไม่ทราบเหตุผลก็ตาม


          หมู่กระโจมกลับเข้ามาสู่สายตาของพวกเขาอีกครั้ง คนงานหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นมันเสียที


          บริเวณรอบกองไฟที่ยังโชนแสงอยู่นั้น หัวหน้ากองคาราวานและครอบครัวของเด็กหญิงตัวน้อยกำลังยืนคอยอยู่ แต่พวกเขาหาได้ยืนอยู่เพียงลำพัง เพราะเหล่าทหารที่รอคอยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน


          “วาสินี วาสินีลูกแม่”


          ผู้เป็นแม่ผุดลุกขึ้นและวิ่งตรงเข้าหาบุตรีทันทีเมื่อเห็นนาง มารดาจูบซ้ายขวาปลอบขวัญเด็กน้อยซึ่งสะอึ้นไห้อีกครั้ง


          ภาพอันน่าประทับใจนั่นทำให้ใครหลายคนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ


          ใช่ ใครหลายคน เว้นแต่เด็กหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลานของหัวหน้ากองคาราวาน ซึ่งมองตรงไปยังทหารนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าผู้เป็นลุง


          ทหารนายนั้นเด่นสะดุดตาเพราะเขาหน้าตาดีและมียศสูงกว่าทหารหลายๆ คน เขาอายุราวปลายยี่สิบ และคงรู้จักกับยาปนอยู่ก่อนแล้ว เพราะเขาหันมามองเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าถมึงทึงเมื่อสังเกตถึงการปรากฏกายของอีกฝ่าย


          “อรุณสวัสดิ์ยาปน” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นความโกรธ


          รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง ทว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มร่าเริงอย่างม้าดีดกะโหลกที่เพื่อนร่วมงานเคยคุ้น มันเป็นเพียงการเหยียดเผยอริมฝีปากโดยมรรยาทเท่านั้น


          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ท่านพี่พลวัต”












-------------------------------------------------------------------------






สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกคน ตอนนี้ที่ เอ็กซ์ทีน มีปัญหาเยอะมากเลย ฉันก็เลยคิดว่าจะอัพมันทั้งสองที่เพื่อไม่ให้เสียเวลาค่ะ

ตอนนี้อาจจะเอื่อยๆ สักนิดนะคะ เพราะไม่ได้เปิดเผยเรื่องอะไรมากเกี่ยวกับพระ-นาง (จขบ.ยังเล่าเรื่องผ่านยาปนอยู่ค่ะ)

ว่าแต่อีตาพลวัตนี่เป็นใครกันนะ ถ้าอยากรู้ เชิญติดตามได้ในบทที่๓ นะคะ แล้วเจอกันค่ะ Bye


ป.ล. แม้จขบ.จะแต่งนิยายเกี่ยวกับการเมือง แต่ห้ามมาตีความเพื่อเล่นกีฬาสีในบล้อกนี้ ไม่ชอบสักสี ขอบอก