วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่1







          หลับตานอนเสียเถิดหนาคนดี
ตัวแม่นี้มิจากไปแม้ยามฝัน
กล่อมลูกน้อยใต้แสงแห่งดวงจันทร์
อย่าดึงดันดื้อร้ายอยู่อีกเลย

          ปากร่ำร้องลำนำอันแสนหวาน
ปลอบดวงมาลย์ให้ปลงหยุดนิ่งเฉย
สดับเสียงขับขานเถอะลูกเอย
เพลงที่เคยยลยินทุกค่ำคืน

          ยอดทรามเชยของแม่จงหลับใหล
ห่อนอาลัยใดๆ ให้เจ้าฝืน
มีฝันหวานอุ่นไอไม่สู้ตื่น
ผ่านกลางคืนสู่วันใหม่ที่รื่นรมย์




บทที่๑



          สายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างไกลซึ่งต้นไม้เริ่มแตกหน่อผลิใบอีกครั้งหลังจากผ่านฤดูหนาวที่แสนยาวนาน ดวงตะวันเริ่มทอแสงที่ปลายสุดของหุบเขาทางด้านทิศตะวันออกย้อมท้องฟ้าสีเข้มให้เป็นสีคราม และเปลี่ยนซากอาคารเก่าที่ถูกเผาทำลายให้เป็นสีทองสุกปลั่งราวกับว่ามันถูกสร้างจากทองคำจริงๆ


          เสียงไก่และฝูงวัวร้องรับอรุณคลอกับเสียงน้ำเดือดในกาซึ่งวางบนเตาไฟกลางแจ้ง ซึ่งเหล่านักเดินทางรีบยกออกมารินใส่ถ้วยดีบุกซึ่งใส่ใบชาไว้เรียบร้อยแล้ว


          ช่างไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้นี่เองซึ่งเคยเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่รองจากนครหลวงแห่งศารทประเทศ หนึ่งในแคว้นที่ เคย เรืองอำนาจที่สุดในหกแคว้นทางภาคเหนือของอนุทวีป


          หนุ่มน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นบิดกายและจ้องมองไปยังเบื้องหน้า ดวงตาสีดำสนิทอย่างชนพื้นเมืองสะท้อนเงาของเมืองซึ่งพังทลายจากสงครามอย่างไร้ความรู้สึก เขาเกิดที่นี่ แต่เพราะสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนทำให้ครอบครัวของเขาต้องหนีไป ในขณะนั้นเขายังอายุน้อยมากจึงไม่รู้สึกผูกพันกับบ้านเกิดเหมือนกับพ่อแม่ของเขาซึ่งมักจมอยู่กับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ของตน


          เงาที่ทอดตกกระทบด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมกองคาราวานของเขาตื่นแล้วคนหนึ่ง


          “เอาชาสักถ้วยไหม” เขากล่าวด้วยสำเนียงองอาจอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวศารทะซึ่งขัดกับบุคลิกห่ามๆ ของเขา


          เพื่อนร่วมทางส่ายหน้าปฏิเสธ ชายแปลกหน้าผู้นี้สวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงหากแต่คลุมศีรษะด้วยผ้าคลุมอย่างชาวศิศิระที่อาศัยอยู่บริเวณที่ต่ำซึ่งมีทะเลสาบมากมาย


          เด็กหนุ่มยักไหล่ก่อนทรุดลงนั่งผิงไฟอย่างไม่ใส่ใจ อันที่จริงเขาไม่รู้จักเพื่อนร่วมทางคนนี้เลยสักนิด เพราะคนผู้นี้เป็นเพียงลูกค้าซึ่งขอติดโดยสารไปยังเมืองหลวงใหม่ทางตะวันออกเฉียงของแคว้น เนื่องจากเส้นทางทางตอนใต้นี้มีโจรชุกชุม


          เสียงเด็กทารกร้องงอแงดังขึ้น ตามมาด้วยครางด้วยความเกียจคร้านดังแว่วมาจากกระโจมผ้าทั้งสองหลังบอกให้รู้ว่าเพื่อนร่วมงานและลูกค้าคนอื่นๆ ตื่นกันหมดแล้ว และมันก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องทำอาหารเลี้ยงทุกคน


          มือหยาบกระด้างหักคอไก่ในตะกร้าเจ็ดตัวก่อนจะโยนเข้าในหม้อน้ำเดือดเพื่อจัดการถอนขน ทำความสะอาดและอาบมันด้วยเกลือ และสมุนไพรท้องถิ่น ก่อนจับมันเสียบไม้ย่างบนกองไฟอย่างง่ายๆ


          ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยไปทั่ว ทุกคนที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วต่างมองไก่ย่างที่ยังไม่สุกดีด้วยความหิว


          จานและถ้วยดีบุกถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนทั้งหญิงและชาย เว้นแต่เด็กทารกซึ่งเพิ่งได้ดื่มน้ำนมจากถันของมารดา


          เนื้อไก่อวบอ้วนชุ่มน้ำมันเดือดส่งเสียงฉ่าๆ ถูกแบ่งออกเท่าๆ เพื่อแบ่งปันให้กับทุกคนซึ่งเร่งรีบทานมันจนหมดก่อนช่วยกันล้างด้วยน้ำซึ่งตักมาจากบ่อน้ำใกล้ๆ


          เมื่อทุกคนอิ่มหนำ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง กระโจมทั้งหมด รวมถึงสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ถูกเก็บขึ้นบนเกวียน และเศษอาหารที่เหลือถูกกองใกล้ๆ ให้อีกาซึ่งจับจ้องพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว


          เด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่เฝ้ายามปีนขึ้นเกวียนสินค้าเพื่อหลับพักผ่อน เขาเอนกายลงบนกองผ้าและเหลือบมองผ่านช่องว่างระหว่างผ้าคลุมเกวียนก็เห็นบุรุษแปลกหน้าคนนั้นอีกครั้ง เขาเดินทางพร้อมกับม้าของตนเองจึงไม่ต้องแออัดเบียดเสียดในกระโจมเหมือนกับคนส่วนใหญ่


          หนึ่งในคณะลูกจ้างคงหลับตาลงนอนทันทีหากไม่ใช่ว่าสังเกตเห็นว่าแสงอาทิตย์ที่กระทบบนร่างของบุรุษผู้นั้นเผยให้เห็นดวงตาสีเทาเข้มแปลกตา อันเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของผู้ที่อาศัยบนแหลมปลายสุดทางตะวันตกของมหาทวีป


          มาณพน้อยมองชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเห็นชาวมหาทวีปมาก่อนสักครั้ง ไม่สิหรือแม้จะเคยเห็นเขาก็คงจำไม่ได้เพราะคงเป็นตอนก่อนแคว้นของเขาจะล่มสลาย และยังคงทำการค้าขายทางทะเลกับต่างชาติ


          ด้วยเหตุนี้เองสิ่งที่เขารู้นั้นก็แค่เพียงคำเล่าลือของเหล่าพ่อค้าซึ่งเดินทางมากับกองคาราวานเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าคำกล่าวนั้นเป็นความจริงเขาจึงรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก


          ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากไปเยือนที่นั่นสักครั้ง ซึ่งมันก็เป็นไปได้ยากอยู่อักโข เพราะดินแดนทางเหนือและสถานีการค้าทุกแห่งนั้นถูกควบคุมด้วยสหพันธ์วาณิชอย่างเคร่งครัด นั่นก็หมายความว่าเขาต้องมีเงินจำนวนมากเพื่อทำการค้าจึงจะสามารถเข้าไปในเขตของสหพันธ์ได้


          ฮึ ถ้าเขามีเงินมากมายขนาดนั้นก็คงไม่รับจ้างคุ้มกันให้กับกองคาราวานแบบนี้หรอก!


          แต่จะว่าไปแล้วทำไมคนทางเหนือถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ แถมยังแต่งตัวอย่างกับพวกศิศิระด้วย... เขาครุ่นคิดอย่างสงสัยเพราะการปกครองที่ล่มสลายและการก่อการจลาจลในประเทศ ทำให้ศารทประเทศกลายเป็นแดนเถื่อนที่มีผู้ร้ายชุกชุม พวกเขาจึงไม่ได้ทำการค้าขายกันอีกเลยหลังจากการยกทัพเข้ามาสร้างความไม่สงบของเวียงราชัน


          ชาวศารทะหัวคร่ำครึอย่างพ่อแม่ของเขาไม่ชอบพวกทางตอนเหนือนัก ซึ่งรวมถึงพวกที่อาศัยตามชายฝั่งตอนบนของอนุทวีปด้วย


          จริงอยู่ที่ความร่ำรวยของผู้ที่อยู่ทางตอนเหนือทำให้พวกเขาได้สมญาว่า นายธนาคาร แต่ชาวศารทะกลับมักเรียกขานพวกเขาว่า ปลาทูอ้วนพี เนื่องจากเป็นพวกชนชั้นกลางที่มีบรรพบุรุษประกอบอาชีพประมงไร้ซึ่งเกียรติ และด้วยเหตุนี้จึงมีคำบริพาธว่า เหม็นคาวปลา ให้ได้ยินอยู่เนื่องๆ ยามเมื่อพวกเขาตกเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่พวกผู้ใหญ่หัวแข็งที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมโบราณแบบศารทะ


          แต่จะว่าไปชาวศารทะเดิมก็คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว แม้แต่ชาวแคว้นเพื่อนบ้านที่อยู่ตอนใต้อย่างศิศิราลัยและครีษมาลัยก็ยังไม่วายมีชื่อเล่นว่า มนุษย์โคลนตม หรือ เด็กเลี้ยงแพะ เพราะมีอาชีพเกษตรกรรมอาศัยอยู่ตามทะเลสาบและทุ่งหญ้าอบอุ่น อีกทั้งทั้งสองแคว้นต่างมีฐานะยากจนเนื่องจากไม่มีอาณาเขตติดกับชายฝั่งให้ทำการค้ากับต่างประเทศ


          ช่างน่าหัวร่อเมื่อยามนี้ ศารทประเทศได้กลายเป็นประเทศยากจนไม่ต่างจากพวกเขา ไม่สิบางทีอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยชาวศิศิระและชาวครีษมะต่างก็ชินชากับการใช้ชีวิตแบบสมถะ ผิดกับพวกเขาที่ยังคงจมอยู่กับเกียรติยศของราชอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ซึ่งถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว


          เด็กหนุ่มหาววอดใหญ่ก่อนพลิกตัว อย่างไรเสียมันก็เป็นปัญหาของคนรุ่นก่อนที่วัยรุ่นเช่นเขาไม่เข้าใจ แทนที่จะมาครุ่นคิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เขาสู้เอาเวลาว่างนี้นอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้เป็นเวรของเขาขับเกวียนเสบียงเสียด้วย


          แต่ทันใดนั้นเอาเกวียนซึ่งเขานอนพักอยู่ก็ถูกชนจนหยุดชะงัก เสียงร้องอย่างตกใจของม้าทำให้เขาต้องตะเกียดตะกายชะโงกหน้าออกไปดู ที่แท้เจ้าคนที่ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างๆ เป็นเจ้ามือใหม่นี่เอง


          “เฮ้ ระวังหน่อยสิวะ” เขาว่าใส่เด็กชายซึ่งคงอายุราวสิบสามสิบสี่ปี


          ทว่าผู้ที่ถูกก่นด่ากลับไม่สนใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆซึ่งอยู่ภายนอกกระโจมซึ่งมองไปยังเบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับหยิบอาวุธของตนขึ้นมา


          หนุ่มน้อยสบถคำหยาบคายยาวยืดขณะที่ควานหาปืนยาวที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา มันเป็นสมบัติประจำตระกูลชิ้นสุดท้ายที่เขามีเหลือเพราะสมบัติชิ้นอื่นๆ ต่างถูกขายไปเพื่อประทังชีพในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากหมดแล้ว


          มือหนารีบบรรจุกระสุนอย่างร้อนใจ ก่อนรีบเปิดม่านด้านที่ติดกับสารถีออก


          ฉิบหายแล้วไหมละ!


          ภาพของกลุ่มชายร่างใหญ่นับสิบบนหลังม้าอยู่เบื้องหน้ากองคาราวาน พวกมันสวมชุดเกราะและพกทั้งดาบและปืน และที่แย่ที่สุดพวกมันมีจำนวนมากกว่าพวกเขาถึงสองเท่า


          จริงอยู่ว่าหนทางที่ดีที่สุดคือยอมแพ้ แต่จะให้พวกเขาซึ่งประกอบอาชีพคุ้มกันผู้เดินทางทำเช่นนั้นได้อย่างไร มีหวังได้ตกงานไม่มีคนจ้างกันพอดี


          ถ้าเลือกได้เขาคงไม่มาประกอบอาชีพบ้าๆ อย่างนี้หรอก แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่แล้วงานก็ไม่มีให้เลือกมากนัก


          เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งในหมู่พวกเขาเดินก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับวางอาวุธลงพื้น เด็กหนุ่มเห็นปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือหัวหน้าผู้คุ้มกันของพวกตน


          เหล่าสหายผู้ร่วมงานต่างลดอาวุธในมือของตนเมื่อเห็นผู้เป็นหัวหน้ายกมือขึ้นเป็นคำสั่ง ทว่าเด็กหนุ่มที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเกวียนกลับยังกำอาวุธแน่น ดวงตาสีดำอย่างชาวเหนือจ้องตรงไปยังแขกไม่ได้รับเชิญนั่นก่อนจะเห็นตรารูปแปดเหลี่ยมทำจากเงินสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายชวนแสบตา


          คนเหล่านี้เป็นตำรวจหลวงของทางการ


          ผู้มาเยือนคนหนึ่งในหมู่พวกนั้นล้วงหยิบม้วนกระดาษก่อนกางมันออกมาให้ทุกคนเห็นภาพวาดของอาชญากร ซึ่งเป็นชายคนหนึ่งซึ่งมีจุดเด่นที่แผลเป็นบากที่ตรงกลางใบหน้าซึ่งแสยะยิ้มอย่างดุร้าย


          หัวหน้าของเด็กหนุ่มพยักหน้ารับหลังจากที่ฟังความตำรวจตรวจแผ่นดินเหล่านั้นจบ เนื่องจากอยู่ห่างเกินระยะได้ยิน เด็กหนุ่มจึงไม่อาจรู้ในสิ่งที่พวกเขาพูด แต่เขาก็เข้าใจดีว่าตำรวจกลุ่มดังกล่าวย่อมต้องการขอตรวจค้นกองคาราวาน


          เหล่าผู้คุ้มกันกระโดดลงจากหลังม้าและรีบเบิกทางให้กับเหล่าตำรวจ และทันใดนั้นเองที่ผ้าม่านเกวียนของเขาถูกเปิดออกเผยให้เห็นตำรวจสามนายซึ่งกำลังมองมาที่เขาอยู่


          พวกเขารีบลากเด็กหนุ่มออกมาจากเกวียนเพื่อตรวจค้น


          “เจ้านี่เป็นใคร” หนึ่งในพวกเขาถามหัวหน้าผู้คุ้มกัน ผู้ซึ่งรีบก้าวเข้ามาอธิบายทันทีเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น


          “หนึ่งในพวกเราขอรับ มันทำหน้าที่เฝ้ากะดึกเลยต้องนอนพักในเกวียน”


          ตำรวจนายนั้นเลิกคิ้วก่อนจะมองสำรวจร่างกายของหนุ่มน้อย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะโดยปกติแล้วคนหนุ่มซึ่งสมบูรณ์แข็งแรงเช่นเขามักจะหนีความลำบากโดยการเข้าไปอยู่กับกองทัพหรือกรมตำรวจหลวงมากกว่ามาตรากตรำทำงานที่ยากลำบากเช่นนี้


          เด็กหนุ่มจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าตำรวจเหล่านั้นหาได้สนใจเพราะต้องรีบไปตรวจตราต่อ ร้อนถึงหัวหน้าต้องรี่เข้ามาตบกะโหลกสั่งสอนสักที


          “โอ๊ย มันเจ็บนะลุง!” ผู้อ่อนอาวุโสกว่าโอดครวญ


          หัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนมองเจ้าหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเขียวปั๊ด


          “ใครสั่งใครสอนให้หาเรื่องใส่ตัวแบบนั้นวะ” ชายวัยปลายสามสิบขึ้นเสียงอย่างรู้สึกฉุน “ข้ารู้ว่าเอ็งไม่ชอบพวกมันแต่หัดเก็บอาการหน่อยเถอะ ข้ายังไม่อยากส่งศพเอ็งกลับบ้านนะโว้ย!”


          มาณพน้อยหน้างอเมื่อถูกสั่งสอนเช่นนั้น เขาเกลียดคนของทางการจึงตัดสินใจติดตามอ้อนวอนหัวหน้าซึ่งเป็นญาติห่างๆ ฝ่ายมารดาเพื่อทำงานร่วมกับกองคาราวาน แน่ล่ะว่าพ่อแม่ของเขาซึ่งอยากเห็นเขามีอาชีพที่มีเกียรติย่อมไม่มีทางเห็นด้วย เขาก็เลยหนีออกมาดื้อๆ และบีบให้ลุงคนนี้ต้องยอมรับเขาเป็นลูกน้องจนได้


          “ก็ได้ๆ” เขารับปากอย่างขอไปที “เรายังไม่ได้ทันข้ามเทือกเขาไปเลยแต่กลับมีตำรวจมาเฝ้าระวังแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลุง”


          ชายวัยกลางคนมองหลานชายห่างๆ ของตนอย่างเบื่อหน่ายก่อนเสือกแผ่นป้ายประกาศซึ่งตำรวจมอบให้ให้กับเขา


          เด็กหนุ่มคลี่กระดาษออกเผยให้เห็นใบหน้าของนักโทษ เมื่อพิศดูใกล้ๆ เขาก็พบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นที่ต้องการของทางการคนนี้หน้าตาดีและมีลักษณะเจ้ายศเจ้าอย่างต่างจากชาวบ้านทั่วไป จึงรีบอ่านรายละเอียดข้างล่างภาพด้วยความสนใจ


          “อากร อดีตเจ้าเมืองไตรตึงค์ ข้อหากบฏ รางวัลนำจับห้าสิบเหรียญทองคำ สูงสามศอกหนึ่งคืบสี่นิ้ว” เขาออกเสียงก่อนส่งกระดาษคืนให้กับลุง “เหอะ รายละเอียดแค่นี้แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเจ้านี่ทำความผิดอย่างที่ว่าจริง บางทีเจ้าบ้านี่อาจจะแค่ไปด่าพ่อล้อแม่พวกในสภาก็ได้”


          เมื่อได้ยินดังนั้นผู้เป็นลุงก็ขยี้ปลายเท้าของเจ้าหนุ่มปากมากทันที


          “มันไม่ตลกนะยาปน*” ฝ่ายที่สูงวัยกว่ารีบสั่งสอนก่อนอีกฝ่ายจะเปิดปากครวญ “หุบปากของแกให้สนิทเถอะน่า เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราแล้ว”


          หนุ่มน้อยนามยาปนสบถในลำคอก่อนสาวเท้าไปทางอื่น แต่โชคร้ายที่ไม่ว่าจะเดินเลี่ยงไปทางไหนก็เห็นแต่พวกตำรวจที่กำลังตรวจตราผู้คนและสินค้าในเกวียนเล่มต่างๆ


          สายตาของหนุ่มน้อยหันกลับไปจึงสบเข้ากับร่างของชาวมหาทวีปคนนั้นอีกครั้ง ชายแปลกหน้าคนนั้นกำลังถูกตำรวจสามนายรุมล้อมอยู่และดูมีท่าทางไม่พอใจนัก


          ยาปนยิ้มเผล้เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาลอบมองลุงของตนจนแน่ใจว่าตนนั้นไม่ได้อยู่ในการสังเกตของลุงแล้ว จึงรีบย่างสามขุมมาทางพวกเขาทันที


          “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เขาแสร้งเอ่ยถามตำรวจเหล่านั้น


          นายตำรวจเหล่านั้นเป็นกลุ่มเดียวกับที่ไล่ให้เขาออกจากเกวียนเพื่อตรวจค้น จึงจำเขาได้เป็นอย่างดี


          “ลูกค้าของเจ้าไม่ยอมแสดงตัวให้พวกข้าเห็นหน้านะสิ”


          เด็กหนุ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าดวงตาสีเทาเข้มอย่างคนต่างถิ่นย่อมแสดงให้พวกเขารู้ว่านักเดินทางผู้นี้ไม่ใช่คนเดียวกับนักโทษคนนั้นแน่ แต่ลักษณะพิเศษเช่นนี้ก็นำมาซึ่งความเดือดร้อนมาสู่นักเดินทางมากกว่า เพราะหลังการล่มสลายของประเทศ ชาวมหาทวีปเช่นเขาก็เป็นที่รังเกียจของชาวศารทะโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งยาปนเองก็เคยได้ยินข่าวเรื่องที่เจ้าพนักงานชอบรังแกชาวเหนือที่เข้ามาในเขตแดนของศารทะอยู่บ่อยครั้ง


          “เจ้านี่นะหรือขอรับ พวกท่านอย่าได้ใส่ใจมันเลยดีกว่า  มันเป็นโรคเนื้อเน่าน่ะนายท่าน พวกเราสงสารเลยให้ร่วมขบวนมาเป็นแรงงานด้วย”


          ด้วยความคึกคะนองและไม่ชอบขี้หน้าตำรวจเป็นทุน ยาปนจึงโกหกกับพวกเขาเพราะนึกสนุกเมื่อเห็นนายตำรวจเหล่านั้นรีบถอยหลังด้วยความกลัว


          “มันเองก็สูงไม่ถึงสามศอกหนึ่งคืบด้วยซ้ำ แต่ถ้าท่านต้องการเห็นข้าจะให้มันแสดงตัวก็ได้นะ...”


          “ไม่ต้องแล้ว” หนึ่งในนั้นกระชากน้ำเสียงอย่างอารมณ์เสียระคนหวาดกลัว พวกเขารีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะติดโรคร้ายแรง


          ยาปนยิ้มเยาะอย่างสะใจก่อนหันไปทางเพื่อร่วมทางซึ่งตนช่วยไว้ แต่ก็พบว่าคนที่ตนทำคุณด้วยเดินเลี่ยงไปอีกทางแล้ว


          เด็กหนุ่มคนเดินไล่ตามเขาไปแล้วหาก ผู้เป็นลุงไม่เดินเข้ามาขวางเสียก่อน


          “รีบขึ้นเกวียนได้แล้ว เราจะออกเดินทางต่อ” ชายวัยกลางคนรีบดันหลังให้เขากลับไปขึ้นเกวียนอย่างเก่า


          หนุ่มน้อยก้าวขึ้นเกวียนอย่างเสียไม่ได้เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ทว่าดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่บุรุษคนนั้นซึ่งขึ้นหลังม้าของตนก่อนจะหายไปลับตาที่ด้านหน้าของขบวนเดินทาง


          ในที่สุดความง่วงและความอ่อนล้าก็เอาชนะเด็กหนุ่ม ยาปนอ้าปากหาวก่อนเอนกายลงบนบนกองพรม ปล่อยให้เกวียนที่แล่นไปตามถนนขรุขระกล่อมไกว่เขาราวกับกำลังนอนอยู่ในเปล




          เสียงโลหะกระทบกันปลุกหนุ่มน้อยให้ตื่นจากนิทรารมณ์และพบว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ยาปนอ้าปากหาวก่อนบิดขี้เกียจแล้วก้าวออกมาจากเกวียนซึ่งจอดสนิทเพราะไม่อาจเสี่ยงเดินทางข้ามภูเขาในยามค่ำคืน


          เขาหลับยาวด้วยความเหนื่อยล้าโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยง แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องรับหน้าที่เฝ้าเวรจนเช้าและต้องทำอาหารเลี้ยงคนทั้งกองคาราวาน


          พวกเขาในขณะนี้หยุดพักกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในหุบเขา ยาปนซึ่งเดินทางมากับกองคาราวานเป็นปีแล้วรู้สึกคุ้นเคยกับมันดีเนื่องจากที่แห่งนี้เป็นจุดพักระหว่างทางซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางที่ต้องการเดินทางระหว่างทิศตะวันตกและตะวันออกของประเทศ ซึ่งถูกคั่นด้วยเทือกเขารัตสิงขรอันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและโจรภูเขาที่จ้องฉวยทรัพย์สินจากเหล่าพ่อค้าผู้มั่งมี


          แสงจากกองไฟเรียกให้เขาเดินตามไปจนพบเหล่าผู้ร่วมเดินทาง ใครคนหนึ่งในหมู่เพื่อนร่วมงานส่งถังน้ำดื่มสะอาดที่เพิ่งตักจากบ่อน้ำให้เขา


          ยาปนดับกระหายและล้างหน้าของตนด้วยน้ำในถังแล้วเช็ดใบหน้าของตนด้วยผ้าขาวม้าก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ ด้วยความรู้สึกที่สดชื่น


          ที่กลางกองไฟมีหม้อน้ำส่งควันสีขาวและเสียงปุดๆ ของน้ำเดือดทว่ากลับยังไม่มีกลิ่นหอม บอกให้เขาซึ่งกำลังหิวว่าอาหารเพิ่งถูกปรุง ทว่าในยามนี้มันหาได้เป็นสิ่งที่เขาสนใจที่สุดไม่


          ดวงตาสีดำราวกับปีกแมลงสะท้อนเปลวไฟสอดส่องหาท่ามกลางหมู่คน เขาเดินผ่านผู้เป็นลุงซึ่งโดยปกติเขามักจะนั่งกินอาหารอยู่ข้างๆ ไป ก่อนจะหยุดที่บริเวณช่องว่างที่ห่างออกไป


          และที่นั่นเองซึ่งชาวเหนือซึ่งเขาได้ช่วยเหลือไว้กำลังนั่งเหลากิ่งไม้อยู่เพียงลำพัง


          มือของเด็กหนุ่มฉวยผลงานของชายแปลกหน้ามาพิจารณาทันที แม้เป็นเพียงเค้าโครงแต่อาศัยแสงจากกองไฟเขาก็มองออกว่าเป็นตุ๊กตาเครื่องรางพื้นเมือง


          “ฝีมือดีนี่นา” ยาปนกล่าวก่อนโยนโครงตุ๊กตาคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของซึ่งรับมันไป


          ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากของบุรุษแปลกหน้าและนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสนใจมากขึ้น เขาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายโดยที่ไม่ขออนุญาตสักนิด


          “ชาวมหาทวีปอย่างท่านมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ถ้าข้าเป็นท่านข้าคงเดินทางไปทางวรรษประเทศเพื่อลงเรือกลับบ้านไปแล้ว” เขาเปรยถาม


          “ตอบข้ามาสักนิดเถอะน่า อย่างน้อยข้าก็ช่วยท่านไว้นะ”


          มือซึ่งกำลังเกลาผลงานหยุดนิ่งไปเล็กน้อย


          “ฉันไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้นสักหน่อยนะ เจ้าหนู”


          น้ำเสียงแปร่งกังวาลแบบชาวต่างถิ่นนั้นไม่สามารถบ่งบอกถึงเพศของผู้เป็นเจ้าของอย่างแน่ชัด แต่นั่นหาได้เป็นสิ่งที่ยาปนสนใจไม่ เขาสนใจเพียงแต่ว่าในที่สุดบุรุษต่างถิ่นผู้นี้ยอมเปิดปากคุยกับเขาสักที


          “ใจดำจริงเลยนะ” ยาปนหัวเราะ “คนอย่างพวกท่านเป็นแบบนี้กันหมดหรือเปล่า”


          ชาวต่างชาติมองมาที่อีกฝ่าย และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มเห็นดวงตาของเขา มันไม่แสดงออกถึงความเป็นมิตรเลยสักนิด


          “คนแต่ละคนมีความแตกต่างเช่นไร เราก็ไม่อาจตัดสินคนชาติใดชาติหนึ่งว่าเป็นเช่นนั้น”


          เมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายตำหนิยาปนก็เข้าใจและรีบยกมือแก้ต่างให้กับตนเองทันที


          “อย่าพูดเช่นนั้นสิ ข้าไม่ได้เป็นพวกรังเกียจคนต่างชาตินะ” เขารีบกล่าวเพราะเกรงว่าจะไม่อาจคุยกับบุรุษต่างถิ่นได้อีก อันที่จริงเขามีความสนใจในโลกภายนอกแคว้นเป็นอย่างมาก จึงต้องการอีกฝ่ายยอมถ่ายทอดเรื่องที่เขาประสบมาให้ตนฟัง


          แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดต่อไป จานสังกะสีที่มีซุปอยู่ภายในก็ถูกส่งต่อมาให้เขา และเขาก็จำต้องส่งต่อไปให้กับชายคนนั้นซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ปลายแถวซึ่งรีบรับมันและฉวยขนมปังออกจากตะกร้า ก่อนลุกขึ้นยืน


          “ฉันรู้ว่าเธอต้องการอะไรเจ้าหนุ่ม แต่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”


          น้ำเสียงของชายแปลกหน้านั้นเย็นยะเยือกเช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องมองกลับมาที่ยาปนซึ่งได้แต่อ้าปากจะกล่าวค้านแต่ไม่กล้า


          “สนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ”


          ชาวต่างชาติกล่าวเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินหลบไปกินอาหารอีกทางหนึ่ง


          ยาปนมองตามแผ่นหลังของชายปริศนา แววตาของคนผู้นั้นทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกสนใจและกระหายใคร่รู้มากกว่าเคย


          และสิ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายทั้งหมดในชีวิตของเขา




----------------------------------------------------------------------------


*ยาปน อ่านว่า ยา-ปะ-นะ ค่ะ



สวัสดีค่ะ อย่างที่เคยแนะนำตัวไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนะคะ ว่าเหตุผลหนึ่งที่ฉันย้ายบล้อกมาจาก exteen เพื่อมาลงนวนิยายของตัวเอง

ฉันเป็นคนหัวช้าค่ะและออกจะชอบทำอะไรตามใจตัวเองไปสักหน่อย ดังนั้นอาจจะอัพเดตช้าไปบ้างนะคะ แต่ก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ (เคยลบเป็นร้อยหน้าแบบไม่เสียดายเพราะไม่พอใจบทมาแล้ว) และเรียนเชิญให้ทุกคนร่วมกันวิจารณ์อย่างเต็มที่ได้เลยค่ะ

เล่ห์รบกลรักเป็นนวนิยายแนวจินตนิยายและไพรัชค่ะ โดยอ้างอิงจากโครงนิทานหลายเรื่อง เพียงแต่เรื่องราวจะถูกเล่าผ่านมุมมองของ Villains เท่านั้นเอง ซึ่งฉันจะลงที่นี่ตั้งแต่ภาคสองเป็นต้นไปนะคะ สำหรับใครที่ต้องการอ่านภาคแรก ก็สามารถอ่านได้ที่บล้อกเก่าของฉันได้เลยค่ะ (แต่ลงให้ไม่จบนะคะ)

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่แวะเข้ามา ดิฉันหวังว่าทุกคนจะสนุกสนานนะคะ