บทที่๓
แสงอาทิตย์ยามสายส่องกระทบดวงตาสีดำอย่างชาวศารทะให้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับสีของโต๊ะไม้ขัดมันอย่างดีซึ่งเจ้าของดวงตากำลังใช้ปลายนิ้วเคาะเป็นจังหวะด้วยความเบื่อหน่าย
ยาปนมองออกไปยังนอกหน้าต่างซึ่งเบื้องนอกเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกแสนสับสนวุ่นวายของชาวนครหลวง ผู้คนจำนวนมากมายซึ่งเดินสวนไปมาบนถนนปูกรวดซึ่งเป็นของใหม่ล้วนมีผมและตาสีดำทั้งสิ้น ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับแตกต่างกันที่เสื้อผ้าและสำเนียงการพูดซึ่งบ่งบอกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม
การเถลิงอำนาจของเจ้านางอุษานั้นไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะสำคัญของการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์เท่านั้น หากหมายถึงสถานะทางการเมืองที่มั่นคงและโอกาสทางการค้า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างระหองระแหงที่ยาวนานถึงขั้นแตกหักเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะทำให้พ่อค้ารายใหญ่อย่างชาวมหาทวีปและผู้ที่อาศัยไกลออกไปในโพ้นทะเลยังไม่คงเข้ามาค้าขายในประเทศ แต่แคว้นที่เล็กกว่าอย่างวสันตประเทศและวรรษประเทศต่างรีบคว้าโอกาสในการเป็นผู้ทำการค้าเจ้าแรกๆ อย่างไม่รอช้า เพราะนอกจากพวกเขาต้องการคู่ค้าเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว พวกเขายังต้องการขออภิสิทธิ์ในการผูกขาดสินค้าบางรายการของศารทะอีกด้วย
แต่สิ่งเหล่านี้หาได้เป็นสิ่งที่ยาปนสนใจแต่อย่างใด สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดนั่นก็คือความรู้สึกของเขาเอง เขาไม่อยากกลับมาที่นี่ ที่ซึ่งเขาตัดสินใจว่าจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะรออยู่ด้านนอกกำแพงเมืองเสมอแต่ดูเหมือนพวกโจรภูเขานั่นจะทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น
เสียงเข็มของนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่มุมห้องดังเป็นจังหวะอย่างน่ารำคาญ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ส่งเสียงดังจนเกินไป เพียงแต่มันถูกตั้งในห้องเขียนหนังสือ ซึ่งบัดนี้มีเพียงบุคคลแค่สองคนกำลังนั่งอยู่ ที่ฝั่งตรงข้ามของยาปน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังลากปากกาบนกระดาษหนังเงียบๆ เขาเป็นตำรวจหลวงซึ่งทำหน้าที่สอบปากคำเด็กหนุ่ม แต่ก็ดูไม่เหมือนกับตำรวจสักนิด เพราะเขามีใบหน้ากรานราวกับไม้แกะสลักหยาบๆ ซึ่งดูข่มขวัญชาวบ้านมากกว่าจะสร้างความอุ่นใจในความแข็งแกร่งสมฐานะ
ยาปนไม่เกรงกลัวบุคลิกของอีกฝ่ายเลย เด็กหนุ่มเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิด มันเป็นนิสัยแย่ๆ ที่เขาไม่รู้ตัว เขาชอบทำแบบนี้ทุกครั้งที่ถูกกวนโมโห ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เขาใจร้อนเสมอและด้วยวัยของเขา มันทำให้ยิ่งแย่ลง
ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถโทษเป็นความผิดของเขา
หลังจากช่วยเด็กหญิงมาได้แล้วและพวกเขาก็จับตัวโจรสองสามคนที่บาดเจ็บได้ กองทหารก็แจ้งแก่พวกเขาว่าทุกคนจะต้องถูกสอบปากคำในนครหลวงและยืนยันว่าจะติดตามอารักขาทุกคนจนกว่าจะถึงที่หมาย และนั่นหมายถึงความล่าช้ากว่ากำหนดการไปถึงสองวันเต็ม
ตั้งสองวันเต็ม ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องหยุ่มหยิ่มเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของทุกคน แต่ลูกค้าเหล่านั้นบางคนก็มีธุระที่จะต้องจัดการอย่างเร่งด่วนในเมืองหลวง และสิ่งนี้เองที่สร้างความเดือดร้อนให้กับลุงของเขาและลูกจ้างทุกคนที่ไม่อาจมาถึงที่หมายได้ตามสัญญา
และด้วยเหตุนี้เอง ผู้โดยสารมากับกองคาราวานเป็นคนกลุ่มแรกที่ถูกสอบสวน ต่างจากเหล่าลูกจ้างซึ่งจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
การให้การของยาปนนั้นจบสิ้นไปแล้ว แต่นายตำรวจผู้นี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากปล่อยให้เขาออกไป ยาปนจึงต้องทนนิ่งเงียบและทำตัวดีซึ่งความอดทนที่มีอยู่ต่ำนั้นทำให้เขาอยู่นิ่งไม่ได้นาน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในที่สุด นายตำรวจซึ่งกำลังเขียนบันทึกอย่างใจเย็นราวกับไม่ยี่หระเสียงเคาะโต๊ะน่ารำคาญวางปากกาและตรงไปยังประตู
เสียงเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะหายวับไปทันทีที่บานประตูหนาหนักนั้นเปิดออกชายหนุ่มรูปงามนามพลวัตปรากฏที่อีกด้านหนึ่งของประตู ในยามนี้เขาหล่อเหลาและงามสง่ากว่าตอนที่อยู่บนภูเขามาก เนื่องจากเขาถอดชุดคลุมสีเทาเข้มและเปื้อนฝุ่นเนื่องจากขี่ม้าออก เผยให้เห็นเครื่องแบบทหารที่ประดับประดาด้วยเหรียญและกระดุมเงินวาววับ บ่งบอกถึงความสำคัญเหนือทหารเลวทั่วไป
เจ้าขี้อวด... ยาปนคิดด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะยกเท้าซึ่งสวมรองเท้าบู้ตซึ่งเต็มไปด้วยโคลนแห้งกรังขึ้นพาดบนโต๊ะอย่างจงใจ
ตำรวจหนุ่มถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจแต่ถูกสายตาของทหารหนุ่มยั้งไว้ เขาจึงยอมเดินออกไป และทิ้งทั้งสองบุรุษให้เผชิญหน้ากันตามลำพัง
พลวัตเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขาจัดการลากเก้าอี้นวมซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งมาข้างๆ เด็กหนุ่มแล้วนั่งลง เขาไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย
“คิดว่าจะทำแบบนี้ต่อไปอีกเมื่อไร”
ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกจากปากของเด็กหนุ่ม นอกจากแววตาท้าทายและดูแคลน
ชายหนุ่มรูปงามส่ายหน้าก่อนถอนหายใจ อย่างไรเสียคนที่มีชนักติดหลังอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิไปว่ากล่าวยาปน
ใช่ มันเป็นความผิดของเขาเองที่ทำตาม สัญญา นั้นไม่ได้
ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงขยับเก้าอี้และนาฬิกาข้างฝาที่ดังเป็นจังหวะ แต่ความเงียบแสนน่าอึดอัดราวกับหมอกเบาบางและชื้นแฉะที่พัดลงสู่ที่ต่ำในยามเช้าก็ทำให้ยาปนทนไม่ได้
“ข้าไปได้หรือยัง” เด็กหนุ่มยอมเอ่ยปากในที่สุด “ต้องรีบไปขอโทษลูกค้าก็เพราะพวกท่านไม่ใช่หรือ”
คำยอกย้อนนั้นทำให้ดวงตาคมกร้าวของพลวัตเงยขึ้นมอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกตำรวจหลวงปล่อยทุกคนกลับไปหมดแล้ว” เขาตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นยาปนก็สบถสั้นๆ เขาไม่เพียงถูกแยกจากลุงซึ่งเป็นข้ออ้างสุดท้ายในการไม่ไปข้องแวะกับครอบครัวเท่านั้น แต่เจ้าคนต่างชาติพิลึกซึ่งเขาต้องการรีดข้อมูลยังถูกกันออกไปด้วย
ลุงเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงใจอ่อนยอมตามไอ้บ้านี่ก็ไม่รู้
“แล้วท่านจุ้นจ้านไปถึงขั้นไหนกันล่ะ พี่ชาย” ยาปนถามด้วยน้ำเสียงแดกดัน “ท่านบอกแม่ของข้าหรือยังว่าข้ากลับมาถึงแล้ว”
คราวนี้พลวัตจำเป็นต้องปกป้องตัวเองบ้างแล้วเขามองอีกฝ่ายตาเขียว
“ข้าไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น” เขากล่าวเสียงกร้าวซึ่งบ่งบอกถึงความโกรธ “แต่ความจริงก็คือความจริง เจ้าหนีครอบครัวของตัวเองไปไม่ได้หรอกนะ”
ยาปนเผยอปากหมายโต้ตอบอย่างคนปากไวแต่ก็ต้องหุบปากเมื่อเสียงเคาะประตูดังแทรกอีกครั้ง
ทหารหนุ่มเดินไปเปิดประตู ยาปนทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับเหลือบมองผู้มาเยือนด้วยหางตา คนผู้นั้นเป็นนายทหารเช่นเดียวกับพลวัตแต่ก็เป็นเพียงพลทหารปลายแถวซึ่งอายุน้อยพอๆ กับยาปนเท่านั้น
เด็กหนุ่มแปลกหน้ากล่าวบางอย่างกับพลวัตซึ่งชะรอยจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเพราะรอยหยาบแห่งความกังวลปรากฎอยู่จางๆ บนหน้าผากของชายหนุ่ม
ประตูปิดลงอีกครั้งก่อนพลวัตจะก้าวฉับๆ ย่างสามขุมกลับมายังหนุ่มน้อยซึ่งทำหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างไร้เดียงสา
“ลุกขึ้น” เขากล่าวก่อนดึงเสื้อคลุมผ้าไหมสีกรมท่าตัวยาวบนราวโยนให้กับคู่สนทนา “สวมมันซะ”
ยาปนเลิกคิ้วกับความตื่นตัวเตรียมพร้อมของพลวัตแต่ก็ยอมยืนขึ้นและสวมเสื้อคลุมขณะที่อีกฝ่ายเดินมายืนข้างๆ และหันหน้าไปทางประตู
ประตูเปิดออกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงการเปิดแง้มพอที่คนๆ จะก้าวเข้ามาในห้องและปิดบานประตูอย่างว่องไว บานประตูทั้งสองข้างถูกเปิดออกกว้างเท่าที่มันจะทำได้ราวกับกำลังเปิดกว้างให้กับทุกคน
คิ้วของยาปนเลิกขึ้นเมื่อเห็นสิ่งแรกที่ผ่านประตูเข้ามา มันเป็นกลีบดอกไม้หลากสี แต่ทำไมต้องเป็นกลีบดอกไม้ด้วยละ
เด็กสาวสองคนก้าวเข้ามา พวกนางดูราวกับเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน เพราะมีรูปร่าง ความสูง และสวมเสื้อผ้าโทนสีส้มและเหลืองดูสดใสและในมือทั้งถือตะกร้าซึ่งมีกลีบดอกไม้นานาชนิดเช่นเดียวกับที่กองบนพื้นเหมือนกัน
ทว่าความเหมือนนั้นหาได้รวมถึงใบหน้าของพวกนาง ดวงตาสีดำขลับทั้งสองคู่มองมาที่ยาปนเป็นทางเดียว ทว่ากลับมีดวงตาเพียงคู่เดียวซึ่งทำให้ยาปนรู้สึกอึดอัด
และดวงตาที่กำลังตัดพ้อด้วยความน้อยใจคู่นั้นก็เป็นดวงตาของสาวน้อยซึ่งอยู่ใกล้กับเก้าอี้ฝังมุกซึ่งมีดวงหน้างดงามและอ่อนเยาว์มากกว่าอีกฝ่าย และดวงหน้ากับดวงตาคู่นั้นก็คล้ายคลึงกับยาปนไม่ผิดเพี้ยน
รสขมแห่งความละอายภายในปากทำให้ยาปนอับสิ้นซึ่งคำพูด เด็กผู้หญิงตรงหน้าคือน้องสาวซึ่งถูกเขาซึ่งเป็นพี่ชายอย่างเขาทอดทิ้งเป็นเวลากว่าสองปี
เขาไม่อยากยอมรับถึงความจริงที่เขาซ่อนอยู่ภายในใจเลยว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดหาใช่เป็นความเข้มงวดจนน่าชังของบิดามารดา หากเป็นความเกลียดชังที่น้องสาวแสดงต่อเขา
เสียงกระดิ่งดังขึ้นดึงความสนใจของยาปนให้มุมไปยังเบื้องนอกแทนที่จะเป็นน้องสาว ทันใดนั้นเท้าซึ่งสวมรองเท้าตัดเย็บจากผ้าไหมสีเทาก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามา ก่อนจะปรากฏร่างแบบบางราวกับนางงามในภาพวาดของอัครศิลปินซึ่งสวมชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์บักลายดอกโบตั๋น ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำราชวงศ์อันเก่าแก่แห่งศารทประเทศ
สายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องเขียนหนังสือ และมันก็ทำให้หัวใจของหนุ่มน้อยนามยาปนสั่นไหวยามเมื่อมันหอบเอาผ้าคลุมลูกไม้ซึ่งปิดบังใบหน้างดงามราวกับพระปฏิมาซึ่งถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำขลับราวกับขนกาออก
สตรีตรงหน้าเป็นสตรีที่ทั้งงดงามและดูอ่อนหวานที่สุดที่เขาเคยพบมา
มือหนาของใครสักคนกดแผ่นหลังให้เด็กหนุ่มก้มลงต่ำจนเกือบหน้าคะมำอย่างง่ายดาย ยาปนรู้สึกได้ถึงไอร้อนบนใบหน้าและหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงภายในอก
“ถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า”
เสียงและคำพูดของพลวัตเรียกเอาสติทั้งมวลของยาปนกลับมา เขาไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต
เขารู้แล้วว่าสตรีตรงหน้านี้เป็นผู้เดียวซึ่งเขาเคยพูดจาล้อเลียนอย่างคะนองปากและไม่เชื่อถือในกองคาราวาน
เจ้านางอุษา ผู้อ้างสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งศารทประเทศนั่นเอง
“งะ เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ”
เจ้าของริมฝีปากอิ่มและสีสดราวกับกลีบกุหลาบกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะอย่างสตรีชาวราชสำนักแต่ดั้งเดิม ยาปนเงยหน้าขึ้นแต่ก็ไม่อาจมองใบหน้าของนางอย่างตรงๆ โชคดีที่หญิงสาวรู้สึกเขินและรีบจัดผ้าลูกไม้คลุมศีรษะให้เข้าที่จึงไม่สังเกตเห็นกริยาเก้อกระดากของเขา
“เรามาเยือนที่นี่เพราะได้ยินจากนางกำนัลว่าพวกท่านจับโจรบุกลักพาตัวบนเทือกเขามหาฤกษ์ได้” พระสุรเสียงแห่งจอมนางไม่เพียงแค่ไพเราะเท่านั้น มันยังเจือด้วยจังหวะอันนุ่มนวลที่น่าหลงใหลอีกด้วย “จริงหรือเปล่าท่านพลวัต”
“จริงพระพุทธเจ้าข้า” พลวัตกราบบังคมทูล ต่างจากบุรุษซึ่งอายุน้อยอย่างยาปน เขาไม่แสดงความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเคารพต่อฐานะของหญิงสาวและนั่นทำให้รอยยิ้มของนางเจือจางลง
แต่รอยยิ้มสดใสนั้นก็กลับมาแทบจะทันที ทว่าดวงตาของนางกลับเปลี่ยนเป้าหมายไปจับจ้องยังเด็กหนุ่มข้างกายเขาแทน
“ท่านต้องเป็นยาปนแน่” เจ้านางอุษาตรัสด้วยพระสุรเสียงสดใส “เราได้ยินเรื่องมากมายเกี่ยวกับการผจญภัยของท่านจากปากของคุณวาสินีมามาก แต่ไม่เคยได้พบตัวจริงสักที ครั้งนี้นับว่าเป็นเกียรตินัก”
แม้จะงุนงงว่าเหตุใดสาวงามตรงหน้าจึงกล่าวเยินยอเขาเสียเลิศเลอในเมื่อน้องสาวของเขาควรจะกล่าวโทษถึงความเห็นแก่ตัวของเขา แต่เจ้าของชื่อที่ถูกขานถึงกับทำอะไรไม่ถูกนอกจากนิ่งเงียบเพื่อรักษาหน้าของตนไว้ น่าขันที่การฝึกอบรมมรรยาทที่แสนชังซึ่งบิดามารดามอบให้กลับส่งเสริมให้มันดูกล้าหาญและสง่างามอย่างกุลบุตรชาวศารทะที่ดี
“เราต้องขอขอบคุณท่านจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ท่านได้ปกป้องประชาชนของเราอย่างกล้าหาญ...”
ใบหูของเด็กหนุ่มกลายเป็นสีแดงเมื่อถูกกล่าวชม ทว่าเขากลับฟังไม่ได้ศัพท์หลังจากที่รู้ว่าหญิงสาวกล่าวถึงใคร
คนที่ช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นคือเจ้านายธนาคารนั่นต่างหาก เขาไม่ยอมรับความดีความชอบของคนอื่นหรอกนะ
ยาปนคงกราบบังคมทูลขัดเจ้าหญิงแล้วหากไม่ถูกขัดด้วยคำพูดของชายหนุ่มอีกคน
“ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาท” เขากราบบังคมทูล “ข้าพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าผู้ที่มีความชอบเช่นนี้ควรจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณตอบแทนเพื่อส่งเสริมการปกครองที่ชอบธรรมของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อไป”
แม้เป็นนายทหารแต่พลวัตก็มีนิสัยอ่อนน้อมและประนีประนอมอย่างที่บัณฑิตในราชสำนักมักจะเป็น จึงไม่แปลกที่เขาสามารถประดิษฐ์คำพูดได้ดี ผิดวิสัยทหารส่วนมากที่มักจะพูดจาตรงไปตรงมา
พระปรางในราชนารีขึ้นสีเมื่อได้รับคำแนะนำจากบุรุษรูปงาม
พระหัตถ์เรียวงามและอ่อนนุ่มในเจ้านางแตะมือหยาบกระด้างของเด็กหนุ่มทำให้เขาใจสั่นจนรู้สึกไม่มั่นคง
“ท่านพลวัตพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง เราควรจะมอบตำแหน่งในราชสำนักให้กับท่าน” พระเนตรคู่โตซึ่งซ่อนอยู่ใต้แพพระโลมจักษุทอดมายังดวงตาของยาปนอย่างมีความหวัง “เราหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธหรอกนะ ยาปน”
น้ำลายในปากของเด็กหนุ่มนั้นแห้งขณะที่ในใจกลับลนลานด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความตื่นตระหนกนั้นทำให้ยาปนไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของโฉมงามตรงหน้าได้เลย
รอยแย้มสรวลแห่งจอมนางกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเฉพาะพระพักตร์คล้อยตามอย่างไม่อิดออด พระนางทรงหันกลับมาทอดพระเนตรยังทหารกล้ารูปงามซึ่งนิ่งเงียบ
“เราไม่ควรจะรบกวนพวกท่านนานนัก” พระนางตรัสในที่สุด นางสนองพระโอษฐ์ซึ่งวางตะกร้าดอกไม้บนโต๊ะจึงหยิบมันขึ้นมาในมืออย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าไม่ต้องกลับกับเราหรอกวาสินี พวกเจ้าไม่ได้เจอกันตั้งนาน คงมีอะไรต้องสนทนากันอีกมาก”
สาวน้อยซึ่งเป็นน้องสาวของยาปนวางตะกร้าดอกไม้ลงบนโต๊ะแล้วถอนสายบัวถวาย “ขอบพระทัยเพคะ”
เจ้านางอุษาแย้มสรวลอ่อนหวานพระราชทานแก่นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทก่อนจะเสด็จออก ต่างจากรอยแย้มสรวลเมื่อครู่รอยแย้มสรวลนี้กลับดูเศร้าสร้อยและโดดเดี่ยว
เมื่อขบวนเสด็จออกไปจนหมดแล้วบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็เข้าครอบคลุมทั่วห้องหนังสือทันที และด้วยเหตุนี้พลวัตจึงตัดสินใจก้าวฉับๆ ออกจากห้องไปอีกคน ทิ้งให้สองพี่น้องซึ่งไม่พบหน้ากันนานพูดคุยกันตามลำพัง
เสียงเข็มนาฬิกาตั้งพื้นส่งเสียงยามที่มันขยับเป็นจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเสียงเดียวที่พวกเขาได้ยิน ไม่มีใครเปิดฉากการสนทนาเช่นเดียวกับดวงตาที่เบนหนีจากใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่ความอดทนนั้นก็มีขีดจำกัด
สายลมจากภายนอกพัดผ่านเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทว่ามันหาได้สัมผัสกับยาปนแต่อย่างใด สัมผัสเดียวที่ยาปนตระหนักและรู้สึกในยามนี้คือความอบอุ่นจากร่างกายของน้องสาวของเขา
ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของเด็กสาวซึ่งร่ำไห้ทั้งกอดรัดพี่ชายราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตา แต่ยาปนกลับอับสิ้นหนทางที่สะสื่อสารอะไรออกมา เขาเคยหวาดกลัวว่าน้องสาวจะเกลียดตน แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขากลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าที่รู้ว่าทอดทิ้งน้องสาวที่ยังคงรักและเคารพตนเองมากมายขนาดนี้
เด็กหนุ่มเองก็จนใจจะพูด เขาทำเพียงตบบ่าของน้องสาวเป็นเชิงปลอบ จริงอยู่ที่เขารักน้องสาวเป็นอันมาก แต่เขาซึ่งใช้ชีวิตร่อนเร่ไปทั่วแคว้นมาตลอดสองปีก็ไม่เคยคุ้นกับการปฏิบัติต่อหญิงสาว
ต้องกลับไปที่นั่นจริงๆ ล่ะสินะ
ยาปนถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเสียไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าของสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวซึ่งเขาไม่ปรารถนาจะพบหน้าอีกเลย...
---***~~ *** ~~***---
พระอาทิตย์เคลื่อนไปเกือบปลายสุดทางทิศตะวันตกแล้ว ท้องฟ้าสีครามจัดจ้าเริ่มมีสีคล้ำและพระจันทร์ก็ปรากฏเสี้ยวให้เห็นอยู่รางๆ
เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นกรวดเบื้องล่างทำให้พลวัตซึ่งยืนอยู่บนห้องรับรองชั้นสองของกรมตำรวจหลวงอนหายใจอย่างโล่งอกจากบานหน้าต่าง เพราะในที่สุดยาปนก็ยอมตามน้องสาวกลับไปหาครอบครัวของตน
เมื่อรถม้าสีดำนายทหารหนุ่มเปิดประตูห้องรับรองแล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อตรงไปยังบ้าน แม้เขาจะรู้สึกยินดีกับเรื่องของยาปนแต่เขายังมีปัญหาที่จะต้องรีบจัดการอยู่อีกมาก
เขาหยุดทักทายนายตำรวจหลวงซึ่งทำความเคารพเขาซึ่งมียศสูงกว่าหลายครั้ง และหยุดพูดคุยกับอีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง
สีหน้าเปี่ยมสุขเหล่านั้นทำให้เขาคิดถึงคนทั่วไปซึ่งก็คือคนภายนอกราชสำนัก ในสายตาของราษฎรส่วนใหญ่และชาวต่างชาติ สถานการณ์ทางการเมืองของศารทประเทศนั้นดีขึ้นมาก แต่ความสมัครสมานสามัคคีของชาวศารทะนั้นก็ถูกมัดรวมด้วยเชือกบางๆ ที่เป็นหญิงสาวบอบบางอย่างเจ้านางอุษา จริงอยู่ที่เจ้านางผู้ทรงพระสิริโฉมมีเชื้อสายกษัตริย์อันเป็นที่เคารพบูชายิ่งชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระนางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะเพียงลูกนอกสมรส ซ้ำร้ายยังอ่อนเยาว์เกินกว่าจะควบคุมอำนาจที่จะทรงได้รับในวาระต่อไป
และโชคร้ายที่พลวัตไม่ใช่เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่สังเกตเห็นความจริงข้อนี้ ฝ่ายตรงกันข้ามที่ต้องการอำนาจซึ่งถูกช่วงชิงไปกลับคืนต่างก็พร้อมใช้ความไม่เหมาะสมดังกล่าวผลักให้เจ้าหญิงร่วงหล่นจากบัลลังก์ทอง
พลวัตไม่อาจต่อว่าพวกเขาที่ทำเช่นนั้นได้เต็มปาก พวกเขาเป็นนักการเมืองไม่ต่างจากฝ่ายฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ซึ่งตัวเขาเองถือหางอยู่ ทั้งๆ ที่รู้ถึงจุดประสงค์เบื้องลึกของขุนนางในสภาดีว่าอำนาจนั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
เจ้านางอุษาไม่ใช่ผู้ปกครองคนต่อไป พระนางเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ทำให้เกมการเมืองดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด ทหารหนุ่มรู้ดีแก่ใจว่าผู้มีอำนาจซึ่งสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพระนางเล็งเห็นว่าความอ่อนแอของอุษาจะทำให้พวกเขาสามารถควบคุมพระนางโดยง่าย
การปราบดาภิเษกของกษัตรีย์จะทำให้อุษามีฐานะเป็นประมุขที่ชอบธรรมแห่งรัฐ พระราชอำนาจที่มากมายและภาพลักษณ์ที่ดีซึ่งคงเพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลาที่พ้นผ่านจะทำให้คำครหาต่างๆ นั้นเบาบางลงจนในที่สุดมันก็จะไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไป
ไม่ว่าใครต่างก็ภาวนาถึงช่วงเวลาที่แสนสำคัญนั้น แต่แท้ที่จริงเวลาที่สำคัญกว่าคือช่วงก่อนพระราชพิธีต่างหาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าการทำลายผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แห่งศารทประเทศนั้นย่อมง่ายกว่าการทำลายผู้ครองรัฐอย่างชอบธรรมและเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน
หากรัฐบาลยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ศารทประเทศคงต้องถดถอยไปสู่ยุคมืดเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกครั้ง
เสียงเพลงกล่อมเด็กดังแววออกมาเมื่อพลวัตเดินมาถึงโถงทางออกในที่สุด เขาผลักประตูออกจคงเห็นแม่ค้าหาบเร่หยุดกล่อมลูกน้อยในอ้อมแขน
หลับตานอนเสียเถิดหนาคนดี
ตัวแม่นี้มิจากไปแม้ยามฝัน
กล่อมลูกน้อยใต้แสงแห่งดวงจันทร์
อย่าดึงดันดื้อร้ายอยู่อีกเลย...
มันเป็นบทกวีเก่าแก่ซึ่งมักร้องคลอกับพิณมาลาซึ่งเป็นเครื่องดนตรีมาจากถิ่นเดียวกัน และมันก็ทำให้เขาคิดถึงต้นกำเนิดของมันซึ่งอยู่ข้ามช่องแคบขึ้นไปทางเหนือ ที่ซึ่งผู้คนซึ่งมีดวงตาสีเทาเข้มอาศัยอยู่
และดวงตาสีเดียวกันนี้เองที่จ้องมองเขาในยามเช้า
พลวัตจำแทบไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นดวงตาของชาวมหาทวีปนั้นเขาอายุเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้เขารู้สึกยาวนานราวกับฝัน ราวกับว่าความจริงดังกล่าวเป็นเพียงนิทานปรำปราถึงดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ใดไปเหยียบย่าง
ชาวมหาทวีปขาดการติดต่อกับชาวศารทะมานานกว่าสิบปีแล้วและเขาก็ไม่คิดว่าตนจะพบชาวมหาทวีปอีกครั้งในเมืองหลวงเช่นนี้ โดยเฉพาะสตรีซึ่งไม่ควรเดินทางอย่างโดดเดี่ยวในดินแดนที่เกลียดชังเชื้อชาติของนาง
ถูกต้องแล้ว คนต่างชาติซึ่งช่วยเด็กหญิงอย่างห้าวหาญคนนั้นเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง
อันที่จริงในเวลาที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้เขาควรจะรั้งนางไว้เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม แต่เขากลับฟังคำอ้อนวอนให้ปล่อยตัวนางไปเพราะเห็นใจที่นางเป็นสตรีตัวคนเดียว และเขาเองก็รู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ยอมตามคำขอนั้น โดยโกหกให้ยาปนได้รับความชอบไป บางทีเขาควรจะเอ่ยปากให้ความช่วยเหลืออื่นๆ
ม้าตัวเมียสีขาวปลอดซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางของเขามาหลายปีร้องเบาๆ เมื่อเห็นทหารหนุ่มเดินมายังคอกของมัน
ชายหนุ่มรูปงามลูบด้านข้างของมันอย่างใจลอยเพราะยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมายที่ยังรบกวนจิตใจ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของศารทประเทศกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันน่าจะส่งผลดีเนื่องจากการมีประมุขเด็ดขาดจะทำให้จิตใจของคนในประเทศรวมเป็นหนึ่ง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่ามันจะต้องส่งผลกระทบบางอย่าง บางอย่างที่อาจไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น