วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่4



บทที่๔



          อากาศร้อนแรงยามฤดูร้อนแผดเผาร่างของยาปนจนเป็นสีแดงหลังจากขี่ม้ารอบตลาด เช้า กระทั่งเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเสียจนทำให้อาภรณ์หรูหรานั้นกลายเป็นสีเทาไร้ราคา


          ท่ามกลางผู้คนและเสียงอึกทึก ในที่แห่งนี้เขาไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขามีฐานะเพียงลูก หาบและหนึ่งในผู้คุ้มกันของกองคาราวาน


          คำว่าบ้านสำหรับคนส่วนใหญ่นั้นหมายถึงสถานที่ซึ่งพวกเขารู้สึกผ่อนคลายและ เป็นตัวของตัวเองที่สุด แต่มันไม่ใช่เลยสำหรับยาปนซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของขุนนางบรรดาศักดิ์


          การอบรมอย่างเข้มงวดกับการวางตัวที่ห่างเหินของมารดาหล่อหลอมให้เขาเกลียดที่ตัวเองเกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงที่แสนจะศารทะ


          ร้อนชะมัด... เด็กหนุ่มคิดก่อนสอดสายตาหาน้ำพุสาธารณะซึ่งเขาสามารถดับกระหายและล้างหน้าได้


          ในที่สุดเขาก็พบมันเข้าที่มุมหนึ่งใกล้กับร้านขายผลไม้ หนุ่มน้อยไม่รอช้ารีบต่อคิวซึ่งถดสั้นอย่างรวดเร็ว


          เขารีบวักน้ำดื่มและล้างหน้า สายน้ำเย็นจากทางน้ำใต้ดินซึ่งไหลจากยอดเขาทำให้เขารู้สึกสดชื่นราดกับเกิดใหม่


          “ถ้าจะมีอะไรดีเหมือนน้ำเย็นๆ กลางฤดูร้อนแบบนี้ก็แค่น้ำอุ่นในฤดูหนาวเท่านั้นแหละ” ชายชราซึ่งเป็นเจ้าของร้านผลไม้กล่าวกับเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะ


          ยาปนยิ้มรับและเขาคงจะหัวเราะตามไปแล้วหากไม่เห็นชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่หลังของพ่อเฒ่า


          ชายคนนั้นเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ด้วยหน้าตาหล่อเหลาจึงเด่นสะดุดตาจากคนเดินถนนธรรมดาคนอื่นๆ ทั้งยังเรียกสายตาชะมอดชะม้อยจากหญิงสาวอีกมากมาย


          แต่เพราะใบหน้าเดียวกันนี่แหละที่ทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มเลือนหายไปจนสิ้น ที่แท้ชายคนนั้นคือพลวัตนั่นเอง


          เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายมากกว่านี้ยาปนจึงเป็นฝ่ายเดินออกจากแถวและตรงเข้าไปหาเขาเอง


          พลวัตยิ้มกริ่มเมื่อเห็นเจ้าตัวยุ่งเดินตัดมาหาเขาแต่โดยดี วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของเขา เขาจึงแต่งตัวอย่างลำลองด้วยเสื้อผ้าฝ้ายเรียบไร้ลวดลาย แต่ด้วยบุคลิกที่งามสง่าเขาจึงยังคงความน่าเกรงขามพอๆ กับที่ยาปนเหมือนเด็กรับใช้ประจำตัวของคหบดี



          “คนอย่างท่านหยุดพักเป็นด้วยหรือพี่ชาย” เด็กหนุ่มมักเรียกเขาว่าพี่ชายเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพี่น้องจริงๆ ก็ตาม




         พลวัตหัวเราะขันกับคำถามที่ถูกถามทั้งๆ ที่คนที่เอ่ยมันออกมารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แม้จะมีความกริยามรรยาทที่ดีชนิดซึมลึกเป็นความเคยชินแต่เขาก็ดูผ่อนคลายและยิ้มแย้มต่างจากบุคลิกเย็นชาเมื่อเข้าเวรมาก



          “พูดอย่างกับเจ้าไม่รู้จักข้าเลยนะ” ชายหนุ่มกล่าว



         คราวนี้ยาปนไม่ได้แสดงสีหน้าปั่นปึงกับวาจายอกย้อนของอีกฝ่ายเหมือนกับคราวก่อน อันที่จริงเขายิ้มเขินอย่างกระอักกระอวนด้วยซ้ำ


         “ท่านไม่ได้บอกท่านแม่เกี่ยวกับข้า ข้าเสียใจที่พูดจาไม่ดีกับท่าน”


         คำขอโทษหลุดออกจากปากของยาปนอย่างง่ายดาย แม้เขาเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนแต่เขาก็เป็นคนรู้จักคิดพอที่จะยอมรับผิดด้วยตัวเอง และพลวัตเองก็เป็นหนึ่งในญาติเพียงสามคนที่เขาพอจะสนิทสนมด้วย โดยสองในสามนั่นก็คือน้องสาวกับลุงของเขานั่นเอง



         ชายหนุ่มซึ่งมีอายุมากกว่าถอนหายใจ เขาเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะหากเขาไม่เคยมีเรื่องหมางใจกับเด็กหนุ่มเมื่อสองปีก่อน เขาก็คงยอมฟังตนแต่โดยดี



          ยาปนมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าพลวัตกำลังคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตนเดินทางร่อนเร่ออกจากนครหลวง แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น



          “แล้วเจ้าจำอะไรต่อไปหลังจากนี้ละ”




           ก่อนที่ยาปนจะทันเอื้อนเอ่ยอะไรขึ้นมา พลวัตก็เป็นฝ่ายถามยาปนเสียเองและคำถามนั้นก็ทำให้เขารู้เสียหน้าและหน้าเสียไปพร้อมๆ กัน




           “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย หาผู้ที่ถามเป็นคนอื่นแล้วเขาคงโต้กลับไปแล้วว่าให้ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองเถอะ แต่เขารู้ดีว่าพลวัตเป็นห่วงเขาอย่างแท้จริงจึงไม่กลัวที่จะบอกความคิดที่ค่อนข้างจะน่าสมเพชของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้




            แม้เขาจะท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นเป็นเวลากว่าสองปีแต่ในใจของเขากลับว่างเปล่า จนถึงบัดนี้เขาก็ยังตามหาความฝันของตัวเองอยู่ และเวลาดังกล่าวก็จวนจะหมดแล้ว เพราะวัยแห่งการลงหลักปักฐานกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ




            พี่ชาย ส่ายหน้าอย่างระอา หากแต่ไม่ได้ระอาในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย ต่างจากท่านผู้หญิงซึ่งอบรมสั่งสอนลูกชายคนโตตามอุดมคติและความคิดของตนเอง พลวัตไม่เคยใช้ความคิดเช่นนั้นมาตัดสินยาปนเลยสักครั้ง และด้วยเหตุนี้เขาเข้าใจในตัวของยาปนดีกว่ามารดาของเขาเสียอีก




           “ถ้าเจ้าคิดอะไรไม่ออก เจ้าก็ควรแสวงหาเพิ่มเติมด้วยการเรียน” เขาบอกแก่ผู้ที่เขาเอ็นดูเสมือนน้องชาย “เจ้าเป็นคนฉลาด ความรู้จะทำให้โลกทัศน์ของเจ้ากว้างขึ้น”




            คำพูดของเขาทำให้ยาปนซึ่งไม่ชอบให้ผู้ใดมาบังคับหรือวางเส้นทางให้รู้สึกขุ่นเคืองแต่ก็ไม่อาจคัดค้านเพราะมันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งพลวัตเพียงเสนอแนะให้เท่านั้น




            “ท่านพูดราวกับไม่ใช่ทหาร” เขาอดหยอกอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้



            พลวัตยิ้ม “ที่เจ้าพูดก็ถูกเพราะตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนเดินถนนคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ราชการ”




             เมื่อการสนทนาจบลงพวกเขาก็สังเกตถึเสียงอึกทึกของแตรและเครื่องดนตรีดังขึ้นบริเวณปากทางเข้าตลาด ชาวบ้านหลายคนต่างผละจากแผงสินค้าตรงไปที่นั่นเป็นทางเดียว เช่นเดียวกับเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่พากันยืนชะโงกหน้ามองด้วยความสนใจ




             สีหน้าของพลวัตเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เขารู้แล้วว่าใครคือศูนย์กลางความสนใจนั้นและเขาก็ไม่ค่อยจะยินดีนัก




            กลีบดอกไม้สดถูกโปรยปรายลงมาจากหญิงสาวที่เดินนำขบวน บ้างก็ตกสู่พื้นดินที่คลุ้งไปด้วยฝุ่น บ้างก็ติดตามเสื้อผ้าหน้าผมของผู้คนซึ่งแซ่ซ้องสรรเสริญเกียรติคุณของสาวงามซึ่งนั่งหลังตรงอยู่บนหลังอาชาสีน้ำตาลพ่วงพี มันถูกประดับประดาด้วยแพรพรรณและดอกไม้ฤดูร้อนสีสันสดใส รวมถึงดอกกุหลาบซึ่งส่งกลิ่นหอมหวานทุกที่ที่พ้นผ่าน




           แม้มือเรียวบางจะโบกทักทายแก่ประชาชนทั้งหลาย แต่ดวงตาสีดำขลับคู่โตของสตรีผู้สูงศักดิ์กลับไม่หยุดสบสายตาของผู้ใด มันกวาดมองไปตามที่ต่างๆ ไม่ใช่เพื่อทักทายทุกคนแต่เพื่อค้นหาคนๆ หนึ่ง




           รอยแย้มสรวลของเจ้าหญิงน้อยกว้างอย่างยินดีในที่สุดเมื่อพบกับชายหนุ่มซึ่งพระองค์ทรงควานหา





           พลวัตโค้งคำนับเพื่อถวายบังคมอย่างสง่างามเมื่อสังเกตถึงสายพระเนตรในโฉมงาม โดยซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ เขาไม่เห็นด้วยกับการเสด็จออกของเจ้านางเลยสักนิด จริงอยู่ที่มันเป็นการเอาใจราษฎรทั้งหลายแต่ช่วงเวลาก่อนการปราบดาภิเษกเป็นช่วงเวลาที่แสนอันตราย พระนางควรจะระวังพระองค์เพื่อไม่ทำให้ข้าราชสำนักต้องเป็นกังวลเช่นนี้




           พระเนตรในราชนารีคลอด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นกริยาห่างเหินของอีกฝ่ายจึงต้องกล้ำกลืนความรู้สึกและโปรยยิ้มให้ยาปนแทน




           ต้องขอบคุณการอบรมมรรยาทตามวิถีศารทะของมารดาที่ทำให้เด็กหนุ่มสามารถโค้งคำนับได้อย่างสง่างามแม้ว่าใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นส่ำ เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเงอะงะงุ่มง่ามตลอดเวลาที่นางมองมา



           เพื่อให้ใจของตนสงบลงยาปนจึงหันไปมองทางอื่นแทน



           แสงอาทิตย์ยามสายนั้นทวีความรุนแรงมากยิ่งกว่าแต่ก่อน แต่ประชาชนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมพระบารมีแห่งกษัตรีย์เรื่อยๆ และท่ามกลางผู้คนมากมายนั้นเองที่แสงแผดจ้านั้นกระทบกับโลหะวาบวับชิ้นหนึ่ง



           มันคือมีดซึ่งมีใบมีดปลายหยัก เขาไม่คิดว่าพ่อค้าทั่วไปจะใช้มันหั่นเนื้อหรือชำแหละปลาแน่



           ไวเท่าความคิดและหัวใจที่หล่นวูบด้วยความกลัว หนุ่มน้อยรีบสะกิดพลวัตให้มองตาม คิ้วของพี่ชายขมวดแน่น แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าเขาจึงรีบจับบ่าให้อีกฝ่ายนิ่งแทนที่จะรีบจู่โจม



           หากนี่คือการลอบสังหารเขาจะต้องจับกุมมันผู้นั้นโดยไม่ให้มีอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด



           “เจ้าไปทางซ้าย ข้าจะไปข้างหน้าเอง” เขากระซิบกับยาปนเพราะยาปนเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้มากที่สุดในตอนนี้ อีกทั้งเด็กหนุ่มเองก็มีฝีมือการรณรงค์พอสมควรด้วย
ยาปนไม่พูดอะไรนอกจากทำตามคำสั่งนั้นโดยไหลไปกับฝูงชนอย่างแนบเนียน



            ราชองครักษ์หนุ่มฉวยด้ามดาบสั้นที่ซ่อนในเสื้อคลุมก่อนค่อยๆ ย่างสามขุมไปยังชายผู้ถือมีด สายตาของมันผู้นั้นจ้องเขม็งยังเจ้านางอุษาเพียงผู้เดียวทำให้มันไม่สังเกตเห็นเขา



             เคราะห์ยังดี เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากสัมผัสกับหัตถาแห่งว่าที่ราชินีและด้วยเหตุนี้ผู้ต้องสงสัยจึงมิอาจเข้าหาพระนางได้ดั่งใจหมายเสียที



            ยาปนก้าวอ้อมไปข้างหลังมันอย่างช้าๆ ฝูงชนมากมายหาได้เป็นแค่อุปสรรคของคนผู้นั้นหากยังเป็นอุปสรรคของเด็กหนุ่มอีกด้วย



            ขอให้เด็กพวกนั้นยืนอยู่นานๆเถอะ... เขาคิดขณะเบียดเสียดผู้คนเข้าไปอย่างทุลักทุเล




            อีกนิดเดียว เพียงแค่ผลักลุงด้านหน้าไปให้พ้นทางเขาก็จะคว้าตัวผู้ต้องสงสัยคนนั้นไว้ได้แล้ว




            แม้คำภาวนาของยาปนจะเป็นผลแต่เขาก็ช่างโชคไม่ดีเลยเพราะฝูงชนที่แออัดเข้ามาผลักให้ชายแปลกหน้ารายนั้นเซล้มคะมำไปด้านซ้ายและเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็สบตาเข้ากับพลวัตโดยบังเอิญ




            สีสันทั้งมวลถูกพรากไปจากใบหน้าของยาปน เขาอดหวังไม่ได้ว่าเจ้าคนร้ายนั่นจะคิดหนีจากไป แต่ความหวังนั้นก็ถูกทำลายลงในพริบตา เมื่อชายแปลกหน้าคนนั้นชัดมีดขึ้นมา




           “แกมันตัวปลอม ตายเสียเถอะนางกะหรี่!” เขาอ้าปากประกาศอย่างโกรธแค้น




           เสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนซึ่งกลายเป็นพยานในเหตุร้ายก่อให้เกิดความโกลาหน ผู้คนที่อยู่ใกล้กับชายคนนั้นพยายามตีตนออกมาในขณะราษฎรที่อยู่ไกลออกไปกลับยิ่งเบียดเสียดเพื่อหวังเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น




           การจลาจลได้เกิดขึ้นแล้ว




           คนแปลกหน้าฉวยโอกาศนี้รีบผลักผู้คนออกไปให้พ้นทางเพื่อจะได้จัดการกับเป้าหมายซึ่งขยับไปไหนไม่ได้ราวกับนกที่ถูกนกที่ถูกขัง




           แต่ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้น




           นางสนองพระโอษฐ์ผู้ติดตามเสด็จส่งเสียงกรีดร้องลั่นเมื่อมีดถูกแทงผ่านอากาศเฉพาะพระพักตร์แห่งจอมนาง ทว่าสิ่งที่มีดได้สัมผัสกลับไม่ใช่เนื้อหนังที่ห่อหุ้มกระดูกและอวัยวะภายในของมนุนย์




           แต่กลับเป็นเนื้อโลหะเย็นชืด




           ยาปนรีบกระแทกมือของมือสังหาร จนเขาร้องด้วยความเจ็บปวดและปล่อยมีดหล่นลงบนพื้น เหล่าฝูงชนที่รุมล้อมต่างรุมเข้าคุมตัวชายที่น่าสงสารทันที




           ไม่เคยมีการจับกุมในที่ชุมชนใดที่ไม่มีการรุมประชาทัณฑ์ มือสังหารคนนี้ก็ไม่ต่างจากผู้ก่อเหตุคนอื่น เขาถูกทำร้ายร่างกายจนยับเยินทันที




          ชายคนนั้นคงต้องสิ้นใจกลางสหบาทาของคนแปลกหน้าแล้วหากไม่ใช่เพราะทหารหนุ่มนามพลวัติไม่เข้ามาห้ามไว้




          “พอได้แล้ว!” เขาตะโกนขณะกางมือไม่ให้มีใครเข้าไปทำร้ายเหยื่ออีก แม้เหยื่อคนนั้นจะเป็นผู้ร้ายก็ตาม แต่เขาก็ไม่ควรถูกกระทำโดยมนุษย์สันดานหยาบที่ชอบเห็นความวินาศย่อยยับของผู้อื่นเป็นเรื่องบันเทิงส่วนตัว




          ช่างน่าขันที่คนเหล่านี้มัวแต่เงื้อง่าราคาแพงไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเมื่อชายคนนี้จะพุ่งทำร้ายเจ้านาง แต่กลับกล้าบ้าเลือดใช้กำลังกับเขาเมื่อเห็นว่าเขากลายเป็นคนไม่มีทางสู้




          เลวสิ้นดี





          เมื่อเห็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญและคุณธรรมของพลวัต เด็กหนุ่มก็หน้าแดงจนเปลี่ยนเป็นสีจัด โดยปกติยาปนเป็นคนที่มีเมตตาอยู่บ้าง เขาต้องเข้าไปไกล่เกลี่ยช่วยเหลือไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้เขากลับวางเฉย เพราะคิดว่ามันสาสมกับการกระทำของเหยื่อที่คิดจะสังหารเจ้าหญิงผู้แสนดี จนพลวัตซึ่งอยู่ไกลกว่าต้องบุกเข้ามาด้วยตนเอง





          ยาปนกัดฟัน ตัดสินใจเก็บความละอายใจเอาไว้ ก้าวเข้าไปเคียงข้างพี่ชายและตะโกนเช่นกัน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”




          อนิจจาคำพูดและการกระทำของเขานั้นไม่มีค่าอะไรเลย ชายสองคนถึงกับจะทำร้ายเขาด้วยซ้ำฐานเข้ามาขัดขวาง




          ทหารราชองครักษ์ซึ่งเคยคุ้นกับพลวัตดีต่างก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเขาจากคนแปลกหน้า




          เจ้านางอุษากำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเหล่าบุรุษกำลังถูกรุมทำร้าย แม้ยาปนจะอายุน้อยที่สุด แต่ความสนใจทั้งหมดของนางมุ่งตรงไปยังพลวัตเพียงผู้เดียว แน่นอนว่าฝีมือระดับราชองครักษ์ทำให้ชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับพลวัตได้ แต่แม้จะมีฝีมือเพียงใดเขากับคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนก็ไม่มีทางต่อสู้กับฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังโกรธแค้นและไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากฆ่าเจ้าอาชญากรตรงหน้าให้ตายคามือ



          นางจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้




           พระหัตถ์เรียวงามแห่งว่าที่ราชินีกระชากแตรจากนักดนตรีก่อนทรงเป่าลบผ่านลิ้นของมันเต็มแรง ส่งเสียงดังกระวานชวนหนวกหูไปทั่ว ประชาชนทุกคนเริ่มรู้สึกตัวจากความบ้าคลั่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าผู้ที่เป่าแตรคือราชนารีผู้เป็นความหวังเดียวแห่งศารทประเทศ



           “ฟังก่อนเถิดพวกท่านทั้งหลาย” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลผ่อนคลายทุกคนจากความตึงเครียด แม้นางจะถูกยกเป็นหุ่นเชิดเพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างราบรื่นแต่หุ่นเชิดมนุษย์ก็ไม่ใช่เพียงหุ่นเชิดสวยงามไร้ประโยชน์ นางได้รับฝึกปรือให้กลายเป็นนักพูดที่ดี



           “เราขอขอบคุณทุกท่านมากที่โกรธแค้นแทนเรา แต่นักโทษคนนี้เป็นนักโทษที่จะต้องนำตัวไปสอบสวน เราจึงร้องขอพวกท่านให้ละเว้นเขาเพื่อที่เขาจะได้ทำตามระบบที่ยุติธรรมของพวกเราชาวศารทะ”



           วาจานุ่มนวลและคำพูดแบบคนรักชาติทำให้ความหงุดหงิดและรู้สึกผิดของทุกคนเจือจางลง ในไม่ช้าพวกเขาก็คล้อยตามโฉมงามจนหมดสิ้น



          “พระราชินีทรงพระเจริญ”



          เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่จะกระจายเป็นวงกว้าง เปลี่ยนจากเสียงเพียงเสียงเดียวกลายเป็นเสียงกระหื่มของคนนับร้อย



          ทั้งยาปนและพลวัตต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนหันไปผงกศีรษะขอบพระทัยจอมนางซึ่งไม่อาจมองมาทางพวกเขาเนื่องจากทรงกำลังแย้มสรวลและโบกพระหัตถ์แก่ประชาชนอยู่





---***~~ *** ~~***---





          “เสื้อเจ้าขาดล่ะ”





          ยาปนซึ่งจูงม้าเดินก้มลงแขนเสื้อบริเวณข้อศอกซ้ายซึ่งปริขาดตามคำเตือนก่อนยักไหล่



          “ช่างมันเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้ชอบมันนัก” เขากล่าวอย่างไม่แยแสก่อนจะสำรวจดูอีกทีอย่างใช้ความคิด “แต่บางทีมันอาจดูดีขึ้นถ้าถูกสังคายนาใหม่”



          ในช่วงเวลาแห่งการสรรเสริญนั้นเองเป็นช่วงเวลาเดียวที่เหล่าทหารลากตัวนักโทษของพวกเขาออกมา พวกเขาทั้งสองคนกับทหารราชองครักษ์อีกนายจึงถือโอกาศหลบหลีกออกมาเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาคุมขังไว้ที่ป้อม



          พลวัตซึ่งอยู่บนหลังม้าอีกตัวยิ้มขันแต่เป็นยิ้มที่อ่อนแรง เขาทำงานหนักมาหลายวันติดกันและวันหยุดของเขาก็ดันถูกทำลายด้วยเรื่องการลอบปลงพระชนม์นี่อีก และด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพนี้เองที่ทำให้เขาไต่สวนผู้ต้องหาแค่ในขั้นเบื้องต้นและกลับออกมาทันที



           แต่ยาปนก็เอ่ยปากชวนเขาดื่มน้ำชาจนได้ ครั้นจะปฏิเสธก็ทำไม่ลงเพราะไม่ได้พบกันนานตั้งหลายปี



           ‘มาเถอะน่ายายวาสินีต้องอยากเจอท่านแน่’



           ยิ่งไปกว่านั้นยาปนยังลากเอาน้องสาวของตนมาบีบเขาอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเอ็นดูนางเพียงใด เจ้าเล่ห์เสียจริง



           แสงแดดยามบ่ายทำให้เสื้อของทั้งคู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฤดูหนาวที่ผ่านมานั้นแสนยาวนาน แต่ฤดูใบไม้ผลิกลับสั้น เพราะไม่ทันไรอากาศก็ร้อนอบอ้าวทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าสู่เดือนมิถุนายนได้ไม่นาน



           เคราะห์ดีที่บ้านของยาปนตั้งอยู่ในถนนหลวงซึ่งถูกขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งร่มเงาของมันช่วยบรรเทาความร้อนจากแสงแดดให้เบาบางลงบ้าง



           ไม่นานนัก ราวสิบนาที พวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านของเด็กหนุ่มในที่สุด พวกเขาจึงกระโดดลงจากหลังม้าและจูงมันเข้าไปในบ้าน



           สายลมในยามบ่ายกร่ำกรายเข้ามาสวนอย่างรวยรินคล้ายกับคนหายใจลำบาก แต่ก็ยังดีกว่านั่งอุดอู้อยู่ในบ้านที่ปิดตาข่ายกันแมลง เหล่าคนรับใช้จึงออกมานั่งบริเวณด้านนอกกันหมด พวกเขารีบยืนขึ้นราวกับถูกไฟช็อตทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม



           เด็กสาวคนที่เดินสวนเขาเมื่อเช้าก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาใสราวกับลูกแก้วเพราะอาบด้วยน้ำตาที่เตรียมไหลออกมาได้ทุกเมื่อ



           “ยะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านเจ้าค่ะนายท่าน” นางกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทาก่อนจะใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อสังเกตคนคุ้นเคยอย่างพลวัต



           ยาปนเบ้หน้า นางต้องถูกพ่อเลี้ยงของตนจับอบรมเสียใหม่แน่จึงได้กลัวขนาดนี้ พ่อเลี้ยงของเขามักจะเป็นคนเจียมตัวเสมอแถมยังให้ความสำคัญกับระบบขุนนางจนเกินไปจนเขารู้สึกรำคาญ



          “เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก “ตอนนี้มีใครอยู่ที่บ้านบ้างล่ะ”



          “มีแต่คุณหนูเจ้าค่ะ”



           เด็กหนุ่มคงถามต่อถึงที่อยู่ของนางแล้วหากไม่ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วมาเสียก่อน มันดังแว่วมาจากบริเวณด้านหลังบ้าน



           ยาปนเดินนำญาติของเขาไปตามทิศทางของเสียงก็พบว่าน้องสาวของตนกำลังซักซ้อมพินมาลามาก่อนและนั่นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเพราะเสียงของพิณนั้นดีขึ้นกว่ายามเมื่อนางซักซ้อมในตอนเย็นเสียอีก



           และเมื่อเพลงจบลงเด็กสาวก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มของสองบุรุษจึงวางพิณลงข้างกายและลุกขึ้นโผ่กอดพี่ชายทั้งสองแน่น



           “เดี๋ยวพี่ก็หายใจไม่ออกหรอก” ยาปนบ่นอู้อี้เมื่อวาสินีคลายอ้อมกอด



           เด็กสาวทำหน้ากระเง้ากระงอดตัดพ้อใส่พี่ใหญ่ “พี่ได้เที่ยวเตร่ พี่ก็พูดได้สิ”



           รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเมื่อหันไปเจรจากับพลวัตบ้าง



           “เป็นอย่างไงบ้างคะ หนูเล่นพิณเพราะขึ้นหรือเปล่า”



           “เก่งมากเลยจ้ะวาสินี” ราชองครักษ์หนุ่มชมเพราะต้องการให้กำลังใจ เป็นเหตุให้พี่ชายตัวจริงทำทางโก่งคอแซวด้วยความเลียน



          “อย่าไปใส่ใจเขาเลยค่ะพี่พลวัต เพราะปากเป็นอย่างนี้ถึงไม่เคยจีบใครติด”



           คำพูดของน้องสาวทำให้ยาปนรู้สึกเจ็บจี้ดนิดๆ แต่ก็คร้านจะเถียงด้วย จึงถือโอกาสหลบเข้าไปในบ้านสักครู่



          “ดี งั้นข้าขอตัวไปหาสำรับมาตั้งก่อนล่ะ คุยกันสนุกนักก็คุยกันไปเถอะ”



          วาสินีหัวเราะร่าก่อนกระซิบกับพลวัตเมื่อเจ้าตัวแสบจากไปลับตา

          พลวัตยิ้มจางๆ ชีวิตของเด็กสาวอย่างวาสินีไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบเลย ยิ่งเป็นลูกสาว แม่ของยาปนก็ยิ่งไม่ต้องการให้นางออกนอกลู่นอกทางจนเสื่อมเสีย แม้จะไม่ได้กักขังหรือเห็นว่านางเป็นสิ่งของ แต่วาสินีก็ไม่ได้ออกไปไหนโดยง่ายเว้นแต่ตามเสด็จซี่งเป็นภาระหน้าที่ที่นางเต็มใจรับ



          “เล่นเอาพิณมาเล่นนอกบ้านแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรพิเศษใช่ไหม” เขาถาม



          วาสินียิ้มกว้าง เมื่อรอให้พลวัตถามมันออกมาอยู่แล้ว นางนับถือเขาเหมือนพี่ชายอีกคนหนึ่งซึ่งต่างจากยาปนที่เป็นพี่ชายประเภทที่ใจดีแต่ชอบทำอะไรตามใจ พลวัตนั้นเป็นพี่ชายที่สุขุมและเข้าใจนาง



          “ท่านแม่จ้างครูสอนมรรยาทคนใหม่ให้ข้าล่ะ”



          ปกติประโยคเช่นนี้มักจะถูกบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่คราวนี้มันกลับถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น บางทีครูคนนี้คงแตกต่างจากแม่แก่เข้มงวดที่ท่านผู้หญิงเคยจ้าง



          เด็กสาวยิ้มแก้มปริเมื่อนึกถึงครูคนใหม่ “นางเก่งมากเลยนะ นางเล่าเรื่องให้ข้าฟังตั้งเยอะแถมยังดีดพิณได้ไพเราะมากอีกด้วย พิณตัวนี้ก็เหมือนกันนางบอกว่าสายพิณของข้าขึงไม่ดีแล้วก็ปรับสายของมันให้ข้าด้วยนะ ทีนี้ล่ะข้าจะหมั่นฝึกซ้อมจนไปเล่นให้เจ้านางในวันฟังเลย”



          “เจ้าชอบนางงั้นสิ” เขาถาม



         ทว่าเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นวาสินีกลับดูหน้าเสียและลังเลเล็กน้อย



          “จะว่าไปตอนแรกหนูก็ไม่ชอบนางนักหรอก ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้“ วาสินีพูด “แต่นางสอนสนุกมากเลยข้าก็เลยเปลี่ยนใจกลับมาชอบนาง แต่จะว่าข้าเป็นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้หรอกนะ นางดูน่ากลัวจริงๆ นี่”



         พลวัตหัวเราะร่าอีกครั้งแม้เธอจะชอบอ้อนเมื่ออยู่กับเขาหรือยาปนแต่โดยเนื้อแท้แล้วนางไม่กลัวอะไรง่ายๆ



         สาวน้อยทำหน้างอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อเรื่องที่นางพูดซ้ำยังคิดว่าเป็นเรื่องตลก



          “โธ่ นี่หนูพูดจริงนะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากขึ้น “ถ้าพี่เป็นหนูพี่ก็ต้องตกใจบ้างล่ะ



          “ตาสีเทาคู่นั้นน่ากลัวจะตายไป แค่พูดหนูก็ขนลุกแล้ว”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น