วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

เล่ห์รบกลรัก ภาค2 บทที่5





บทที่๕



          แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาในพระตำหนักแห่งยุวกษัตรีย์ ทำให้พระกรทั้งสององค์ซึ่งซ้อนทับรับพระเศียรบนโต๊ะทรงงานแดงเรื่อและระคายเคืองจากความร้อนจนผู้เป็นเจ้าของสะดุ้งตื่น พระโลมาจักษุเบิกขึ้นอย่างช้าเชื่องก่อนจะเผยให้เห็นพระเนตรสีดำขลับที่แม้จะแดงก่ำแต่ก็ยังคงประกายสุกใสเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์





          เจ้านางอุษาทรงทอดพระเนตรยังหนังสือที่ยังคงกางออกแล้วหยิบพระจุฑามณีซึ่งทรงถอดวางไว้เสียบคั่นก่อนทรงบิดพระวรกายและประทับยืน นิ้วพระหัตถ์เรียวยาวเอื้อมจับปลายพู่ไหมด้านขวาและดึงโยกไปมาจนกระพรวนที่สุดปลายสายดังเสียงใส





          ไม่ช้าประตูหนาหนักก็ถูกเปิดออกตามด้วยหญิงรับใช้หลายนางที่กุลีกุจอนำเสด็จไปยังห้องสรงซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง





          น้ำอุ่นถูกเติมในอ่างส่งควันอวลกลิ่นหอมฉุย หญิงรับใช้สองคนเข้ามาช่วยโฉมสะคราญถอดเครื่องทรงลงสรง ก่อนจะเดินไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่หลังม่านพับ





          อุษาทรงวักน้ำลงบนพระพักตร์ก่อนปล่อยใจให้ผ่อนคลาย





          พระนางโปรดปรานการทรงพระอักษร การเลี้ยงดูอย่างกษัตริย์ทำให้พระนางถูกโดดเดี่ยวจากเด็กในวัยเดียวกันมาโดยตลอด และเมื่อความหรูหราและพรั่งพร้อมไม่ได้ทำให้หัวใจของเด็กหญิงคลายจากความเหงา อุษาจึงปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับกองหนังสือต่างๆ ที่พาใจของนางหนีออกจากขอบรั้วที่ทั้งหนา สูง และเย็นชาไปแม้เพียงชั่วคราวก็ตาม





          เมื่อชำระเนื้อตัวจนสะอาดสะอ้านดีแล้ว ราชตระกูลสาวก็ยืนขึ้นและก้าวออกจากอ่างสรงไปยังผ้าซับพระวรกายซึ่งนางกำนัลกางไว้รอรับ และแน่นอนว่าความเคยชินทำให้สาวงามไม่รู้สึกกระดากอายกับสายตาของพวกหล่อนแต่อย่างใด





          เครื่องทรงและเครื่องสำอางถูกจัดไว้อย่างประณีต เพราะนางกำนัลซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือเรื่องเครื่องภัสตราภรณ์นั้นมีความเชี่ยวชาญเรื่องความงามเป็นอย่างยิ่ง

 



          อุษายิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นผลงานของนางบนกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า เจ้าหญิงน้อยทรงโชคดีที่มีรูปโฉมที่งดงาม แต่ความงามนั้นหรือจะเบ่งบานออกมาได้เต็มที่เมื่อไร้การปรุงแต่ง ทุกคนที่ได้ยลโฉมต่างถูกล่อลวงด้วยความเรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นทุกสิ่งถูกเครื่องสำอางขับออกมาจนโดดเด่น





          โดยเฉพาะโครงเค้างามสง่าสมกับเป็นราชินีแห่งประเทศ





          รอยแย้มสรวลเลือนหายไปเล็กน้อยเมื่ออุษาทรงอนุสรณ์ถึงความจริงข้อนี้ ความสง่างามนั้นมักจะมาพร้อมกับความแข็งกระด้างที่บดบังความอ่อนหวานอันเป็นเสน่ห์ที่บุรุษต่างหลงใหล





          นางกลัวเหลือเกินว่าคนผู้นั้นจะมองข้ามมัน...





          เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะเฉพาะบ่งบอกว่าเจ้าหญิงกำลังจะสายทำให้พระนางเรียกให้นางกำนัลเตรียมพร้อมทันที





          จอมนางน้อยทรงลอบถอนพระอัสสาสะก่อนจะแย้มสรวลอย่างแช่มชื่น พระนางทรงกังวลเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่านางจะพบคนผู้นั้นทุกวันสักหน่อย วันนี้เขาก็ไม่มีกำหนดการมาเสียด้วย





          ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านโถงรูจีซึ่งตกแต่งด้วยภาพเขียนสีฝุ่น ทองคำ กระจกและเครื่องเรือนชั้นสูง ท้องฟ้าเบื้องนอกเป็นสีครามจัดตัดกับสนามหญ้าและต้นไม้เขียวขจีซึ่งผลิดอกออกใบกันเต็มต้นทำให้จิตใจของหญิงสาวทุกนางรู้สึกสดชื่น





          ต่างจากนางกำนัล พระเนตรสีดำขลับราวกับปีกแมลงของเจ้าหญิงน้อยปรายมองสวนเบื้องนอกด้วยความว้าเหว่ แม้อาณาเขตของมันกว้างใหญ่แต่ก็เงียบสงัดไร้ซึ่งผู้คน





          มันจะเป็นเช่นไรนะหากสวนที่สวยงามแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่สนทนาและหัวเราะร่วมกันอย่างผ่อนคลายและร่าเริง





          ประตูไม้หนาหนักบานสุดท้ายถูกเปิดออก ภายในห้องมีดรุณีแน่งน้อยนั่งมองมาที่อุษาเป็นจุดเดียว





          เสียงถวายบังคมนุ่มนวลดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง เช่นเดียวกับการถอนสายบัวลงต่ำที่ทำได้อย่างงดงาม ซึ่งก็นับเป็นสิ่งปกติที่จากกุลสตรีตระกูลชั้นสูงต้องทำได้





          ใช่แล้ว หญิงสาวทั้งหลายนั้นคือสุภาพสตรีผู้สืบเชื้อสายของขุนนางในราชสำนักแห่งศารทประเทศ





          “เชิญนั่งตามสบายเถิด ทุกคน” อุษาซึ่งประทับนั่งลงบนพระที่นั่งแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเมตตา





          สตรีทุกคนนั่งลงตามพระดำรัสพร้อมกับหยิบพิณมาลาขึ้นมาวางไว้บนตัก แม้จะถูกเกณฑ์มาเพื่อเป็นเพื่อนในการร่ำเรียนสำหรับเจ้านางแล้วพวกนางไม่ใช่สหาย  เด็กสาวเหล่านี้ไม่ต่างอะไรหุ่นยนต์ที่เอาแต่ทำตามคำสั่ง





          อันที่จริงพระนางเองก็เป็นหุ่นยนต์อีกตัวหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือนางเป็นหุ่นที่ถูกชักเชิดให้เล่นบทบาทสำคัญกว่าทุกคนเท่านั้นเอง





          พระอาจารย์ซึ่งนั่งบนแท่นต่ำกว่าเองก็หยิบพิณของตนขึ้นมาเช่นกัน นางเป็นท่านผู้หญิงหม้ายสูงวัยซึ่งเคร่งครัดในระเบียบดั้งเดิมจนเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศให้แก่ชาวราชสำนักใหม่





          ทว่าทันใดนั้นเอง หลังจากบทเพลงถูกบรรเลงไปเพียงไม่กี่จังหวะ เสียงฝีเท้าตึ่งตังก็ดังขึ้นจนดึงความสนใจของกุลสตรีทุกนางไปเสียสิ้น





          ประตูบานหนาถูกเปิดออกอีกครั้งเผยให้เห็นร่างเล็กของกุลธิดาซึ่งวิ่งแล่นเข้ามาในห้องทรงดนตรีด้วยความไวที่น่าทึ่ง จนเจ้าตัวสะดุดเกือบหัวคะม่ำ





          อุษาทรงหลุดสรวลเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นผมเผ้าที่หลุดลุ่ยของเด็กสาวคนนั้นก่อนจะทรงแสร้งขิปสัทโทกลบเกลื่อนเมื่อเห็นสายตาเขียวกร้าวของท่านผู้หญิง





          “การรักษาเวลาเป็นสิ่งที่สุภาพชนชาวศารทะควรปฏิบัติอย่างเสมอต้นเสมอปลายนะคะคุณวาสินี...”





          พระอาจารย์ตำหนิจนเด็กสาวได้แต่นิ่งเงียบรีบจัดทรงผมอย่างน่าสงสารแต่ก็ไม่วายขยิบตาให้กับเจ้าหญิงน้อยซึ่งพยายามกลั้นสรวลเต็มที่ หากมีใครสักคนที่อุษาพอจะทรงเรียกได้ว่าเป็นสหายก็คงจะมีแต่เด็กสาวที่เป็นตัวของตัวเอง อย่างวาสินีเพียงคนเดียว





          อุษาทรงพระขิปสัทโทอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดังกว่าก่อนเพราะหมายดึงความสนใจจากหญิงชรา





          “ที่ท่านต่อว่านางสมควรแล้วท่านผู้หญิงเมฆา” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานและให้เกียรติ “แต่พวกเราต่างรอคอยบทเรียนของท่านอยู่นะ”





          แม้แม่แก่ในชุดดำไม่ได้ยิ้มหรือร่าเริงยินดีต่อพระดำรัสนั้น แต่แผ่นหลังที่ยืดตรงของนางก็ทำให้เจ้าหญิงทรงทราบว่านางพอใจกับมันมากทีเดียว





          วาสินีรีบถือโอกาสแจ้นไปประจำที่ทันที นางหน้างออย่างฉุนโกรธเมื่อนึกถึงต้นเหตุสำคัญที่ทำให้นางต้องขายหน้าในเช้านี้ ทุกอย่างเป็นความผิดของยาปนแท้ๆ ที่แหย่นางจนมาสาย





          พระอาจารย์เองก็เดินกลับไปนั่งบนแท่นของนางเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นสายตาแหลมคมราวกับเหยี่ยวนั้นเหลือบไปเห็นความขุ่นเคืองบนดวงหน้าของวาสินี





          มือเรียวยาวและผอมของท่านผู้หญิงวางพิณลงก่อนจะหันไปกราบทูลเจ้าหญิงน้อย





          “ก่อนที่เกล้ากระหม่อมฉันจะสอนต่อ เกล้ากระหม่อมฉันใคร่ขอพระอนุญาตจากใต้ฝ่าพระบาทสุ่มทดสอบความรู้ของสหายร่วมชั้นของฝ่าบาทด้วยเพคะ”





          อุษาทรงทราบดีว่าแม่เฒ่าหมายถึงผู้ใดจึงทรงแย้มสรวลกว้าง





          “ถ้าเช่นนั้นก็ให้เราเป็นหนึ่งในผู้ถูกทดสอบด้วยเถอะ”





          หญิงชราไม่ขัดต่อพระดำรัส ไม่ใช่เพราะจำใจปล่อยให้เจ้าหญิงทรงกู้หน้าให้กับวาสินี แต่เป็นเพราะเจ้าหญิงเป็นหนึ่งในนักเรียนที่นางภาคภูมิใจและหวังว่านักเรียนทุกคนจะจำไว้เป็นแบบอย่าง





          พระหัตถ์เรียวยาวสวมฉลองพระองคุลีไล้ไปตามสายพิณส่งสำเนียงและท่วงทำนองใสราวกับสายน้ำออกมาก่อจะแปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองสง่างามและฮึกเฮิมของบทเพลงที่มักจะใช้ประกอบลำนำของวีรบุรุษผู้หนึ่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้ซึ่งนำชนชาติชาวศารทะอพยพมาจากมหาทวีป





          มันเป็นมหากาพย์หนึ่งพระนางเคยชื่นชอบตั้งแต่ยังเล็ก





          และเมื่อเสียงเพลงนั้นจบลง นักเรียนทุกคนต่างก็ปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียง





          ยุวราชนารีทรงแย้มสรวลกว้างรับคำชมแต่นั่นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่จริงใจเลยสักนิด เพราะพระนางทรงทราบดีว่าตนเองไม่ใช่นักเรียนที่ดีที่สุดในชั้นดังที่ทุกคนต่างยกยอปอปั้นเอาใจ





          ท่านผู้หญิงหม้ายยิ้มอย่างชื่นชม นางเปลี่ยนใจหันไปทางเด็กสาวผู้งดงามซึ่งนั่งอยู่ติดกับตนเพื่อให้เป็นผู้บรรเลงคนต่อไป





          เด็กสาวคนนั้นหยิบพิณมาลาขึ้นมาและบรรเลงต่อ นางทำได้ไม่ดีเท่าเจ้าหญิงน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความสามารถที่ต่ำกว่าที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น แท้ที่จริงบทเพลงดังกล่าวนั้นมีจังหวะที่ซับซ้อนและยากที่จะบังคับเครื่องดนตรีให้บรรเลงดังใจ





          “ทำได้ดีมาก แต่ควรจะฝึกฝนให้มากกว่านี้” ท่านผู้หญิงกล่าวสั้นๆ และนั่นไม่ยุติธรรมเลย เพราะนางเป็นคนที่ทำให้เด็กสาวคนนี้ต้องแสดงความเคารพต่อเจ้านางเช่นนี้





          รอยแย้มสรวลถูกระบายบนใบหน้าอีกครั้งเมื่อเด็กสาวผู้นั้นถอนสายบัวถวาย แต่ลึกลงไปในพระทัยนั้นกลับทรงขุ่นเคืองเพราะพระนางทรงทราบดีว่ากุลธิดาผู้นี้คือนักเรียนที่ดีที่สุดของท่านผู้หญิง





          อุษาทรงเกลียดเรื่องแบบนี้





          “เอาล่ะ” พระอาจารย์กล่าวและหันไปทางเหยื่อของตนในที่สุด “แม่วาสินี เธอคือคนสุดท้าย”





          โดยปกติแล้ววาสินีคงอิดออดเมื่อต้องออกมาแสดงต่อจากเด็กสาวคนนั้น แต่คราวนี้นางกลับลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉงจนอุษาทรงแปลกพระทัย





          วาสินีแอบขยิบตาอย่างนึกสนุก นางใช้เวลาตั้งหนึ่งสัปดาห์เต็มในการฝึกซ้อมและนางคิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าพึงพอใจมากทีเดียว





          ชิ คอยดูเถอะแม่เฒ่า...





          โน้ตตัวแรกถูกบรรเลงออกมาเป็นบทเพลงเดียวกับเด็กสาวคนก่อน ทว่าเสียงของมันกลับต่างออกไปจากที่เคยเช่นเดียวกับการวางนิ้วที่แปลกไป





          แม้ไม่ถึงกับไร้ที่ติแต่ความไพเราะนั้นกลับมีมากมายกว่าบทเพลงกระท่อนกระแท่นอย่างที่นักเรียนดีเด่นบรรเลงนัก





          ยิ่งกว่านั้นจังหวะในการบรรเลงและทำนองของวาสินีนั้นก็แปลกประหลาดมากเสียด้วย มันทั้งร่าเริง ซุกซน อ่อนหวานและด้วยความเศร้าอย่างน่าอัศจรรย์





          “พอได้แล้ว”





          น้ำเสียงเฉียบขาดของแม่เฒ่าทำให้วาสินีต้องหยุดบรรเลงดนตรีกลางคัน ไม่มีเสียงปรบมือหรือชื่นชมของออกมาจากปากของนักเรียนคนอื่นๆ ทุกคนได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยในพฤติกรรมของอาจารย์





          อุษาเองก็สงสัยเช่นเดียวกับคนอื่นแต่ก็ได้แต่ทรงเยื้อนพระโอษฐ์เพราะดูเหมือนแม่ครูกำลังฉุนเฉียว





          ท่านผู้หญิงหยิบพิณของตนขึ้นมาและบรรเลงเพลงเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ท่วงทำนองนั้นแทบจะสมบูรณ์แบบ กล้าหาญและสง่างามอย่างที่ชาวศารทะรู้จัก





          “นี่คือนาวาชมจันทร์อย่างชาวศารทะ” นางประกาศก่อนจะก้าวฉับๆ มาประจันหน้ากับวาสินี “คุณวาสินีฉันขอเตือนเธอก่อนว่าสิ่งที่เธอบรรเลงเมื่อครู่เป็นดนตรีแบบพวกชาวประมงกับโจรสลัดอย่างที่พวกใจแตกชอบกัน”





          เท่านั้นไม่พอมือเยียบเย็นของเฒ่าจับมือของวาสินีวางตนตำแหน่งเดิมอย่างที่ควรจะเป็น





          “เธอเป็นชาวศารทะดังนั้นเธอต้องทำตามธรรมเนียมของเรา”





          เมื่อแม่เฒ่ากล่าวจบลงเสียงหัวเราะก็เพื่อนร่วมชั้นก็ดังขึ้นทำให้วาสินีรู้สึกอับอายจนหูแดงก่ำ





          ห่างออกไปบนเจ้าอี้พระที่นั่ง เจ้านางอุษาไม่ทรงสรวล เจ้าหญิงไม่ทรงเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องตลก อันที่จริงท่วงทำนองของวาสินีนั้นเพลิดเพลินและน่าทึ่งมากเสียด้วยซ้ำ





          จริงสิ นางเคยบอกว่านางมีครูสอนมรรยาทคนใหม่...





          เจ้าหญิงทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างทรงพระดำริบางสิ่งที่น่าสนพระทัยออกมา บางทีครูคนใหม่นั่นอาจเป็นที่มาของดนตรีแบบนี้ก็เป็นได้





          แววพระเนตรซุกซนฉายบนพระพักตร์งาม โฉมงามทรงดีดพระองคุลีที่พระหัตถ์ข้างซ้ายเรียกนางกำนัลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ให้เดินเข้ามาเพื่อทรงกระซิบสั่ง





          “แจ้งกับท่านผู้หญิงอารดาว่าวันนี้เราจะไปเยี่ยมคฤหาสน์ของนาง”









---***~~ *** ~~***---









          สายลมพัดผ่านพื้นถนนหอบเอาเศษธุลีดินขึ้นมาจนเจ้าของกระโปรงสีกรมท่าตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีซึ่งก้าวฉับๆ ไปข้างหน้าหยุดชะงักด้วยความระคายเคืองในดวงตา





          หญิงสาวซึ่งก้มหน้าค่อยๆ กระพริบตาช้าๆ ขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาก่อนจะเงยหน้าหนึ่งและก้าวเดินต่อไป





          ทุกคนที่สัญจรไปมาต่างรู้ได้ทันทีว่านางเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่เพราะเส้นผมสีแปลกตาหรือรูปร่างที่แตกต่างออกไป แต่เป็นเพราะไม่มีสุภาพสตรีผู้มีอันจะกินตามแบบศารทะคนใดที่กล้าหาญพอจะเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกนิวาสสถานเพียงลำพังให้เป็นที่ติฉินนินทา





          แต่จะกล่าวว่านางจงใจแสดงออกขัดกับธรรมเนียมศารทะก็คงจะไม่ใช่ เพราะไม่มีใครที่ต้องการเดินฝ่าสายแดดร้อนแรงในยามบ่าย หลายคนโดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะดีต่างพยายามเจียดเงินจ้างบริการรถม้า และสุภาพสตรีผู้นี้ซึ่งกำลังแบกพิณในห่อผ้าย่ำบนถนนปูกรวดในบริเวณย่านที่พักอาศัยของขุนนางเก่าแก่ก็คงจะไม่ต่างกัน





          มือซ้ายหยาบกร้านซึ่งสวมแหวนบนนิ้วนางอันบ่งบอกถึงสถานะสมรสนั้นค่อยๆ ซับผ้าเช็ดหน้าตามตีนผม ที่แท้สตรีนางนี้บังคับตนให้เดินเพราะวงแหวนที่ยึดล้อรถม้าที่มาส่งนางนั้นหักบริเวณปากทางเข้าสู่ถนนใหญ่





          ในที่สุดคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในตรอกนั้นก็อยู่ตรงหน้าของนาง สีนวลเปลือกไข่ของมันจัดกับประตูรั้วสีเทาหยาบ สีแดงของอิฐและสีเขียวขจีของแมกไม้นานาพันธุ์ซึ่งปลูกภายในอย่างชัดเจน ในอดีตมันเคยเป็นบ้านพักตากอากาศของขุนนางใหญ่คนหนึ่ง ทว่าในยามนี้มันได้กลายเป็นบ้านสำหรับพำนักจริงๆ จึงมีการต่อเติมมากมายอยู่หลายจุดจนเป็นที่สังเกตเห็น





          สตรีต่างถิ่นสั่นระฆังเรียกคนจากภายในก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะน้ำหนักของพิณทำให้หลังของนางปวดมากทีเดียว





          เด็กสาวคนหนึ่งแจ้นออกมาเปิดประตูรับ นางเป็นหญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งแม้จะมีหน้าตาที่ดูพื้นๆ แต่ก็มีรูปร่างที่สมส่วนและกริยาที่น่ารักสมวัย





          ผู้มาเยือนยิ้มทักทายอย่างร่าเริง นางถอดหมวกปีกกว้างออกเผยให้เห็นดวงหน้าคมกระจ่างและดูสดใส ผิวของนางออกจะมีเกรียมแดดและมีกล้ามเนื้อมากเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามแบบชาวศารทะที่นิยมสตรีร่างบางและผิวสีขาวราวกับเปลือกไข่





          แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุดกลับเป็นดวงตาคู่โตที่สะท้อนกับแสงแดดจนเป็นสีเทา





          หญิงรับใช้เบนสายตามองไปทางอื่นทันทีที่สบตา สุภาพสตรีผู้นี้เป็นครูสอนมรรยาทคนใหม่ของคุณหนู พวกนางจึงเคยพบกันหลายครั้งแล้ว และผู้หญิงคนนี้ก็เป็นมิตรและยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่สายตาคมกริบนั่นก็ทำให้เด็กสาวซึ่งไม่เคยชินกับชาวต่างชาติรู้สึกขนลุก





          “วันนี้ท่านผู้หญิงกับคุณหนูมีแขกสำคัญจึงให้ข้านำทางท่านไปพบเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะก้มหน้างุดนำหน้าไป





          สตรีซึ่งมีอายุมากกว่าเดินตามอย่างไม่อิดออด ดวงตามองผ่านยอดไม้และสวนสวยที่รื่นรมย์เหมาะแก่การหย่อนใจราวกับจะเก็บภาพนี้ไว้ในใจ





          ผู้เป็นนายจ้างยืนคอยนางอยู่ที่บริเวณหน้าเรือนใหญ่ แม้จะพบกันหลายครั้งแล้วแต่นางกลับดูแตกต่างไปจากเดิมเพราะนางสวมเสื้อผ้าที่เป็นพิธีการกว่าทุกๆ วัน





          “เจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเสีย หารินี” หญิงที่สูงวัยกล่าวรีบหันสั่งการข้ารับใช้ก่อนที่ผู้มาเยือนจะมีโอกาสโอภาปราศรัยด้วย





          และเมื่อเห็นว่าหญิงรับใช้รับคำสั่งนั้นและจากไปแต่โดยดีแล้วนางก็หันมาทางครูสอนมรรยาทของบุตรี ดวงตาสีดำขลับที่ในอดีตคงมัดใจเหล่าบุรุษมามากมายกวาดมองการแต่งกายของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก





          “เชิญทางนี้”





          หญิงชาวเหนือยิ้มหวานทำตามคำขอนั้นแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างก็ตาม





          “ฉันไม่เห็นรถม้าของคุณเลย” ผู้เป็นนายจ้างเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงสูงคล้ายจะติเตียนกลายๆ





          หญิงสาวผู้เดินตามมาหัวเราะขัน





          “รถม้าที่ท่านให้ไปรับดิฉันเกิดชำรุดที่ตลาด ฉันจึงรีบเดินมาเจ้าค่ะ”





          ท่านหญิงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อคำตอบนี้ นางยังคงจ้ำไปข้างหน้า ตรงไปยังระเบียงริมน้ำหลังคฤหาสน์ก่อนจะหยุดเดิน หันมาที่ครูสอนพิเศษของบุตรีอย่างเป็นการเป็นงาน





          สตรีสูงวัยมองใบหน้าของอีกฝ่าย นางรู้จักผู้หญิงคนนี้ผ่านการแนะนำของญาติห่างๆ และพึงพอใจเป็นอย่างมากที่บุตรสาวได้รับการเอาใจใส่อย่างดี เพราะถึงนางจะมีบุคลิกเย็นชาเพราะการวางตัวอย่างไร้ที่ติจนเป็นนิสัย แต่นางก็รักใคร่บุตรีของตนไม่แพ้พี่ชายของนางทั้งสองคน





          ดวงตาสีเหล็กกล้านั้นเป็นหลักฐานว่าหญิงตรงหน้าของนางนั้นเป็นชาวมหาทวีปอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งนี้ก็เป็นเหตุให้นางรู้สึกกังวล แต่ท่าทางเป็นมิตรและความจริงใจของผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้นางผ่อนคลายความวิตกไปได้บ้าง





          อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็ตัวคนเดียวจะกล้าหาญอุกอาจทำอะไร...





          “คุณกฤตยา” เจ้าบ้านเอ่ยชื่อของครูสอนพิเศษขึ้นในที่สุด





          “วันนี้เรามีแขกสำคัญมากคนหนึ่งมาเยือน” นางเว้นช่วงเพื่อสังเกตอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยช้าๆ เพื่อเน้น





          “แขกคนนั้นคือเจ้านางอุษา”





          ปฏิกิริยาของครูสอนพิเศษนั้นแสนธรรมดากว่าที่นางคาดคิด มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างเท่านั้นที่บ่งบอกความยินดีและประหลาดใจ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะนางเป็นครูสอนมรรยาทที่ต้องสมรวมกริยา





          เจ้าบ้านกระแอมเล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจ “เจ้านางโปรดดนตรีที่วาสินีบรรเลงและต้องการ เอ่อ...พบกับผู้ที่สอนนาง คุณคงรู้ใช่ไหมว่าต้องวางตัวเช่นไร”





          รอยยิ้มที่กว้างนั้นเป็นคำตอบและมันทำให้ใจของท่านหญิงผู้สูงส่งรู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย





          “เดินตามข้ามา”





          เสียงพิณไม่เป็นจังหวะดังแทรกขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองสตรีจะถึงที่หมาย และเมื่อพวกนางเดินล่วงผ่านหมู่ไม้เข้าไปก็พบกับศาลาหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ริมสระบัว





          สายลมฤดูร้อนพัดผ่านศาลาและต้นหลิวริมสระให้สั่นไหวพร้อมทั้งหอบเสียงหัวเราะร่าของเหล่าดรุณีมายังผู้มาเยือนทั้งสอง และพวกนางก็คงรื่นเริงต่อไปหากไม่ใช่เพราะเสียงกระแอมของท่านผู้หญิงเจ้าของบ้าน





          ผู้ที่ผละออกจากกลุ่มเด็กสาวคนแรกคือสตรีโฉมงามที่กฤตยาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นางก็ระลึกได้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กสาวที่สวยที่สุดคนหนึ่งซึ่งนางเคยพบมา แต่สิ่งที่แตกต่างจากบรรดาเด็กสาวอื่นๆ นั่นก็คือท่วงท่าสง่างามสมกับเลือดขัตติยา





          เด็กคนนี้ต้องเป็นเจ้านางอุษาไม่ผิดแน่





          “ถวายบังคมเพคะ” ท่านผู้หญิงยอบตัวถอนสายบัวถวายก่อนและตามมาด้วยครูสาว





          เจ้านางน้อยทรงชำเลืองมาที่สตรีแปลกหน้าก่อนจะทรงหันมามีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าบ้านหญิง “วันนี้เราต้องรบกวนท่านมาก ท่านหญิงอารดา”





          ผู้เป็นเจ้าบ้านยิ้มและถวายบังคมอีกครั้ง “ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบ แต่นี่หาใช่การรบกวนแต่อย่างใด เกล้ากระหม่อมฉันยินดีที่ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จเยือนเสมอ”





          เจ้าหญิงทรงแย้มสรวลรับคำชมนั้นก่อนจะทรงหันมารับสั่งกับสตรีอีกนางบ้าง





          “ท่านคงเป็นอาจารย์ของวาสินีเป็นแน่” พระนางตรัสอย่างทรงเมตตา “นางกล่าวชมท่านให้เราฟังตั้งมากมาย”





          กฤตยายอบตัวลงต่ำก่อนมองไปทางลูกศิษย์ที่ยิ้มร่าอยู่ไม่ห่างแล้วตอบรับสั่งนั้น





          “นั่นเป็นเพราะวาสินีเป็นนักเรียนที่ดีต่างหากเพคะ”





          พระขนงของจอมนางเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างทรงแปลกพระทัย จริงอยู่ที่กฤตยากราบทูลด้วยโทนเสียงนุ่มนวลแต่น้ำเสียงธรรมชาติของนางนั้นกลับหนักแน่นและมีอำนาจบางอย่าง





          ยิ่งไปกว่านั้นอุษาทรงสังเกตเห็นว่าในน้ำเสียงนั่นมีบางสิ่งที่ผิดปกติ...





          “ท่านพูดด้วยสำเนียงศารทะได้ดีแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน”





          พระนางตรัสขึ้นอย่างด้วยความสนพระทัยและนั่นทำให้เจ้าบ้านฉุกคิดขึ้นได้ว่าครูสาวสนทนากับตนสำเนียงชาวศารทะ ไม่ใช่สำเนียงบ้านเกิดของนาง





          แต่เพราะเหตุใดกันละ





          “ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น ใต้ฝ่าพระบาททรงพระปรีชาจริงๆ เพคะ” รอยยิ้มระบายบนดวงหน้าของสตรีผู้มีดวงตาสีเทา “เกล้ากระหม่อมฉันคิดว่าคู่สนทนาจะสบายใจกว่าหากเกล้ากระหม่อมฉันกล่าวด้วยสำเนียงพื้นเมือง”





          หากคราวนี้นางกล่าวด้วยสำเนียงบ้านเกิดของนางเองซึ่งเร็วกว่าและเป็นจังหวะที่ต่างออกไป





          อุษาทรงสรวล พระองค์ทรงรู้สึกถูกพระทัยหญิงชาวเหนือคนนี้มากทีเดียว นางมีบุคลิกที่ปราดเปรียวและฉลาดเฉลียวซึ่งแสดงออกผ่านคำพูดที่เหมาะสมของนางด้วย





          แต่ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าซึ่งสวมรองเท้าบู้ตก็ดังแหวกผ่านหญ้าสวบสาบจนมาถึงบริเวณริมสระก่อนจะปรากฏร่างของสองบุรุษซึ่งกำลังแปลกใจกับแขกที่ไม่คาดฝัน





          และหนึ่งในสองคนนั้นคือคนซึ่งราชนารีน้อยทรงหลงรักอย่างหมดพระทัย





          รอยยิ้มบนใบหน้าของพลวัตถูกพรากไปพร้อมกับการปรากฏของโฉมสุดากษัตรีย์ เขาเดินนำหน้ายาปนที่เอาแต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกตรงมายังศาลาริมน้ำ





          “ถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า” เขาโค้งถวายจอมนางอย่างสง่างามสมกับเป็นหนึ่งในหัวหน้ากองราชองครักษ์ สายตาของเขาประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเลยที่เห็นพระนางนอกเขตพระราชฐาน





          พระปรางในราชนารีขึ้นสีก่ำด้วยความยินดีเมื่อเห็น เขา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นชืดที่บรรจงประดิษฐ์เช่นเดิมด้วยรู้ถึงเกียรติและฐานะของตนเอง





          “ยินดีที่ได้พบพวกท่านทั้งสองค่ะ” เจ้าหญิงน้อยทรงหันเหความสนพระทัยโดยหันไปที่ชายหนุ่มอีกคน “เราชอบสวนในบ้านของท่านมากทีเดียวท่านยาปน”





          ใบหูของเด็กหนุ่มเจ้านายใหญ่ของบ้านที่เป็นสีแดงอยู่แล้วยิ่งขึ้นเป็นสีก่ำเหมือนมะเขือเทศริมรั้ว อันที่จริงเขารู้สึกเงอะงะทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่เห็นพระพักตร์แห่งโฉมงามแล้ว





          “ข้าพระพุทธเจ้ายินดียิ่งพระพุทธเจ้าข้า” เขากราบทูลตอบหลังจากนิ่งอึ้งสักพัก โชคดีที่เขาระวังตัวพอที่จะไม่ตะกุกตะกักจนขายหน้า





          “ไม่ควรจะกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาท ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จเยือนยังคฤหาสน์แห่งนี้ด้วยเหตุอันใดหรือพระพุทธเจ้าข้า”





          นายทหารหนุ่มไม่รอคอยให้อุษามีโอกาสเจรจากับผู้อื่นหากแต่ชิงกราบทูลถามอย่างรวดเร็ว และนั่นสร้างความน้อยพระทัยให้แด่ราชนารีน้อย





          พระโอษฐ์ซึ่งยังคงคลี่เป็นรอยแย้มสรวลเผยอออกก่อนจะทรงพระดำเนินถอยไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้ผู้กราบทูลถามเห็นผู้ซึ่งเป็นเหตุผลนั้น





          ดวงตาสีดำสนิทซึ่งเขียวขุ่นของพลวัตคลายความหงุดหงิดออกเช่นเดียวกับคิ้วที่ขมวดแน่น ความประหลาดใจและตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อเห็นดวงหน้าที่เคยคุ้นแม้ไม่คุ้นเคยกับผู้เป็นเจ้าของมาก่อน





          นางคือชาวต่างชาติซึ่งเขาเคยพบในกองคาราวานไม่กี่สัปดาห์ก่อนพร้อมกับยาปน





          ต่างจากเจ้าของดวงตาสีเทาเข้มราวกับท้องนภายามค่ำที่ดาษดาด้วยเมฆทึบ สตรีชาวเหนือเพียงยิ้มแย้มตามมารยาทและส่งสายตาราวกับจะถามว่าอะไรของนางที่ทำให้เขาตกใจ





          “มีอะไรหรือคะท่านพลวัต” อุษาตรัสถาม ดูเหมือนว่าอาการของเขาจะดึงดูดความสนพระทัยในเจ้าหญิงน้อยเสียแล้ว







          พลวัตกระพริบตาก่อนจะเปลี่ยนทีท่าทันที เขาเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องหรือเปล่า





          “ต้องขออภัยที่ผมเสียมรรยาทด้วยคุณนาย” เขารีบกล่าวกับคู่สนทนาอีกคนที่เขาเผลอจ้องมองนานจนเกินไป “แต่ผมไม่ได้เห็นชาวมหาทวีปมานานแล้วจึงรู้สึกประหลาดใจ”





          เมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มที่เจื่อนไปนิดหนึ่งด้วยความสงสัยของกฤตยากลับมายิ้มกว้างอย่างรื่นรมย์เช่นเดิม





          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นางกล่าวทั้งหัวเราะขันอย่างไม่ถือสา





          ชายหนุ่มฉีกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแก้เก้อแต่ดวงตาของเขายังคงจ้องเขม็งเช่นเดิม เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางจำต้องอำพรางความจริงเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นนางเสแสร้งได้อย่างแนบเนียนเสียจนน่ากลัว





          ถึงนางจะเคยบอกเขาไว้ว่าต้องการความสงบก็เถอะ แต่อย่างไรก็ควรแสดงพิรุธออกมาเสียบ้าง





          แน่นอนว่ากริยาแสนธรรมดาของสตรีต่างถิ่นก็ทำให้จอมนางเบี่ยงเบนความสนพระทัยไปสู่เรื่องเดิม





          อุษาทรงปรบพระหัตถ์เพื่อดึงความสนใจของทุกคนให้กลับไปที่ตนดังเดิม โดยเฉพาะครูสอนมรรยาทคนใหม่ของวาสินีซึ่งเป็นจุดประสงค์หลังในการเสด็จเยือนครั้งนี้





          “อันที่จริงวันนี้พวกเราได้ฝึกฝนการดนตรีกัน และวาสินีก็ได้รับเลือกให้แสดงเป็นตัวอย่าง และฉันรู้สึกประทับใจในบทเพลงและท่วงทำนองที่แตกต่างไปจากเดิมของนางมากเหลือเกิน” เจ้าหญิงตรัสโดยทรงตัดทอนรายละเอียดน่าอับอายออกไปเพื่อให้กำลังใจพระสหายและยกยอครูของนาง





          “วาสินีบอกกับฉันว่าคุณเป็นคนสอนเพลงนาวาชมจันทร์แบบทางเหนือให้กับนาง ถูกต้องหรือเปล่าคะ”





          พระปุจฉานั้นสร้างความขุ่นเคืองให้กับท่านผู้หญิงอารดา แม้นางไม่ได้รังเกียจวัฒนธรรมต่างถิ่นอย่างที่เรียกได้ว่า ดัดจริต ดั่งที่ชนชั้นสูงในราชสำนักเป็นกัน แต่นางก็โกรธที่บุตรีของตนกระทำอุกอาจเช่นนั้นต่อหน้าพระพักตร์เพราะมันจะทำให้เป็นที่ครหาได้





          กฤตยาถวายบังคมอีกครั้ง “ถูกต้องเพคะ อันที่จริงเกล้ากระหม่อมฉันเองสอนให้นางรู้เป็นแบบอย่างถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมเพียงเท่านั้น ตัววาสินีเองก็พอใจในเพลงนี้จึงซักซ้อมอยู่หลายครั้ง แต่เกล้ากระหม่อมฉันเองก็ไม่คิดว่านางจะนำไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์เพคะ หากบทเพลงนั้นเป็นที่โปรดปรานของใต้ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมฉันก็ยินดียิ่งนักเพคะ”





          ราชนารีน้อยทรงแย้มสรวลอย่างถูกพระทัยอีกครั้ง แม้กฤตยามีกริยาผ่อนคลายกว่าครูสอนมรรยาทของลูกผู้ดีทั่วไป แต่วาจาของผู้หญิงคนนี้ช่างคมคาย สมแล้วกับที่ท่านผู้หญิงอารดาเลือกสรรมาเพื่อบุตรีผู้เป็นที่รัก





          “จริงอยู่ที่วาสินีบรรเลงได้เป็นที่พอใจ แต่นางก็เพิ่งเริ่มต้นฝึกเมื่อสองสัปดาห์เท่านั้น นางจึงไม่อาจบรรเลงได้อย่างคล่องแคล่ว” พระนางตรัสก่อนจะทรงทอดพระเนตรยังสตรีต่างถิ่นอย่างมีความนัย





          “อันที่จริงเรามาเพื่อมาฟังบทเพลงของคุณ เรารู้สึกสนใจเหลือเกินและหวังว่าคุณจะยินยอม”





          บรรยากาศชวนอึดอัดกระจายไปทั่ว อันที่จริงคำขอนี้ไม่เหมาะสมเพราะการแสดงดนตรีเฉพาะพระพักตร์นั้นควรจะเป็นดนตรีที่แสดงถึงความงามสง่าอย่างศารทะ ไม่ใช่เสียงระริกระรี้เริงร่าหรืออ่อนหวานไร้สาระเหมือนชาวเหนือ และท่านผู้หญิงอารดาก็รู้สึกกระอักกระอวนใจที่เป็นเช่นนั้น





          พลวัตซึ่งเห็นท่าทางไม่ดีจึงกระทุ้งยาปนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มซึ่งมัวแต่ยืนนิ่งราวกับเป็นหุ่นกระบอกจึงได้สติและเห็นช่องทางเอาพระทัยนวลอนงค์ผู้มาเยือน





          “คุณนายได้โปรดทำตามพระประสงค์เถิด” เขากล่าวกับครูของน้องสาว “ข้าเองก็อยากจะฟังดนตรีของท่านเช่นกัน”





          แน่ละว่าประโยคหลังเป็นการโกหก พลวัตถึงกับยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะดนตรีบรรเลงยาวๆ จะทำให้ยาปนรู้สึกเบื่อจนเผลอนอนหลับทุกที





          อุษาทรงแย้มพระโอษฐ์ขอบใจหนุ่มน้อยเจ้าของเรือนแล้วทรงหันมาทางกฤตยา “ได้ยินเช่นนั้นคุณก็โปรดเล่นเถิด อย่าได้กังวลอีกเลย”





          บนดวงหน้าของกฤตยาแสดงความลำบากใจ นางยิ้มเป็นเชิงขออภัยให้กับอารดาก่อนจะนั่งลงบนแท่นและหยิบพิณเก่าของตนขึ้นมา





          เสียงพิณเป็นท่วงทำนองที่ร่าเริงและสดชื่น แต่แฝงด้วยความนุ่มนวลของหญิงสาว พิณมาลาเป็นเครื่องดนตรีอันมีต้นกำเนิดจากธิดาตระกูลคหบดีชาวมหาทวีป บทเพลงต่างๆ โดยเฉพาะบทเพลงดั้งเดิมนั้นจึงเป็นบทเพลงซึ่งสื่อความรู้สึกซึ่งไม่อยากเปิดเผยได้อย่างเต็มที่อย่างเหล่าบุรุษและด้วยเหตุนี้ลำนำพิณมาลาจากทางเหนือจึงอัดแน่นด้วยความรู้สึกและความเร้นลับ ที่ถูกแก้ไขโดยชาวอนุทวีปซึ่งไม่นิยมการแสดงออกของกุลธิดามากนัก





          อุษาทรงหลับพระเนตร ปล่อยให้เสียงดนตรีชำระล้างความสับสนในพระทัยออกไป พระนางไม่ทรงเคยสดับฟังเพลงใดที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมและลื่นไหลราวกับสายน้ำเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แม้กระทั่งจากนักดนตรีแห่งราชสำนักที่เก่งกาจที่สุดในศารทประเทศก็ตาม







          นาวาชมจันทร์เป็นเพลงโปรดของพระนางเสมอ เพราะใจความที่รื่นเริงแต่แฝงด้วยความเหงาและความเศร้านั้นสะท้อนความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อ เขา ผู้นั้นได้อย่างชัดเจนที่สุด





          พระเนตรสีดำขลับทอดมองไปยังราชองครักษ์หนุ่มราวกับจะตัดพ้อ พระนางทรงสงสัยเหลือเกินว่าจะมีสักวันที่ความรู้สึกของพระองค์จะไปถึงเขาหรือเปล่า





          เจ้าหญิงน้อยทรงเริ่มปรบพระหัตถ์และตามด้วยเหล่าข้าราชบริพารที่ปรบมืออย่างเต็มใจ





          กฤตยาลุกขึ้นและถอนสายบัวอย่างสง่างาม “ขอบพระทัยเพคะ ใต้ฝ่าพระบาททรงพระเมตตา”





          เจ้านางอุษาทรงส่ายพระพักตร์อย่างทรงจริงพระทัยเมื่อทรงได้ยินคำพูดถ่อมตนจากอีกฝ่าย แต่แล้วก็ทรงนิ่งชะงักอย่างทรงพระอนุสรณ์บางอย่างขึ้นมาได้





          แท้ที่จริงแล้วเพลงทางเหนือเพลงนี้ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง





          “คุณบรรเลงพิณได้อย่างไพเราะมาก เราขอชื่นชม” เจ้าหญิงน้อยตรัสในที่สุดก่อนจะทรงทอดพระเนตรมองไปยังดวงตาสีเทาคู่โตของคนต่างชาติด้วยความสนเท่ห์ “แต่เราเคยได้ยินว่าสตรีทางเหนือที่มีความสามารถจะขับลำนำคลอกับเสียงพิณเสมอ ไม่ทราบว่าท่านสามารถแสดงให้เราชมได้ไหม”





          คำขอของเจ้าหญิงน้อยทำให้รอยยิ้มของครูสาวเจื่อนลงเล็กน้อย แรกทีเดียวพระนางทรงพระดำริว่าคำขอนั้นอาจจะยากเกินกว่าสามารถของกฤตยา แต่แล้วครูสาวก็กลับมาแย้มยิ้มได้ดังเดิม





          “หากใต้ฝ่าพระบาททรงไม่รังเกียจในฝีมือที่ต่ำต้อย เกล้ากระหม่อมฉันก็ยินดีเพคะ” นางกราบทูลอย่างนอบน้อม





          รอยแย้มสรวลอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนพระพักตร์งามหมดจดในจอมนาง เพราะแม้คำพูดนั้นจะถ่อมตนแต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นคล้ายกับประกาศความมั่นใจ





          “คุณกล่าวเกินไปแล้ว ได้โปรดแสดงเถอะค่ะ”





          บทเพลงก่อนหน้าถูกบรรเลงใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แม้แต่เด็กหนุ่มที่ไม่ใส่ใจในเรื่องของดนตรีชั้นสูงยังจับจ้องตาไม่กะพริบ





          ยาปนมองครูสอนมรรยาทของน้องสาวด้วยความสนใจ ระหว่างการเดินทางกับกองคาราวานครั้งล่าสุดเขาได้มีโอกาสพบกับคนทางเหนือคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาสีเทาเข้มเหมือนกันนาง





          แต่นั่นก็เพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเขา





          แววตาของกฤตยานั้นอ่อนโยนและแฝงด้วยความเศร้า ซึ่งต่างจากชายคนนั้นซึ่งมีแววตาดุกร้าวและมีอำนาจลึกลับ ซ้ำร้ายเขาคงไม่มีวันเชื่อหรอกว่ากุลสตรีอย่างนางจะกล้าต่อตีกับพวกโจรเช่นนั้น





          เปลือกตาเคลื่อนทับดวงเนตรสีเหล็กกล้า ขณะที่ภาพชายฝั่งทะเลสาบที่ค่อยๆ เลือนหายไปในม่านหมอกและหิมะปรากฏในความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน ในที่สุดริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยชาดสีแดงสดเผยอออกเอื้อนเอ่ยคำรองเพลงรักอันแสนหวานออกมา





          “สายลมเลื่อนเคลื่อนคล้อยจากขอบฝั่ง...”





          เจ้านางอุษาซึ่งทรงสดับเสียงของครูสาวถึงกับทรงขยับพระปฤษฎางค์เลื่อนออกจากพนักพิงของเก้าอี้พระที่นั่ง พระนางเคยได้ยินนักร้องมามากมายแต่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงของใครที่เป็นเอกลักษณ์และไพเราะจนชวนขนลุกมาก่อนขนาดนี้





...ยินเสียงดังสาดโครมถล่มหา



ฟองคลื่นกลืนลับหายในพริบตา



ดาษดาทรายหาดสีโศกเทา



ดวงจันทราประดับเด่นบนเวหน



เหนือสายชลเมฆฝนและภูเขา



เกษียรเข้ากระทบล่างข้างสำเภา



หัวเรือเสาโอนเอนเล่นแล่นตาม



ท่านอยู่ในนาวาวารีใหญ่



สุขหรือไม่เป็นอย่างไรข้าใคร่ถาม



ตัวน้องนี้เฝ้าคิดหาอยู่ทุกยาม



หวั่นภัยคามชีพม้วยกลางนที



วันเวลาล่วงเลยเพียรเปลี่ยนผ่าน



แม้ช้านานข้ายังรออยู่ตรงนี้



วานจันทร์เจ้าคืนเพ็ญบอกเขาซี



ว่านารีผู้นี้ยังเฝ้าคอย

                             









          ไม่มีคำพูดใดเลื่อนหลุดออกมาจากปากของผู้ชม เมื่อลำนำนั้นจบลง ผู้บรรเลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและวางพิณลง ก่อนจะสูดลมหายใจอย่างโล่งอก และนั่นทำให้จอมนางทรงสนใจนางอีกครั้ง





          เจ้าหญิงน้อยทรงปรบพระหัตถ์ แต่ครั้งนี้เหล่าข้าราชบริพารต่างไม่รอคอย ปรบมือพร้อมกับพระนางทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างประจักษ์ในฝีมือของสตรีต่างถิ่น โดยเฉพาะวาสินีที่ภาคภูมิใจในตัวครูเป็นพิเศษ





          กฤตยาถอนสายบัวถวายอีกครั้งและกล่าวขอบคุณกับทุกๆ คน





          “เยี่ยมที่สุด เยี่ยมมาก” อุษาตรัสชมอย่างจริงพระทัยเช่นเดียวกับรอยแย้มสรวลกว้างก่อนจะทรงหันไปทางพระสหายที่ยิ้มไม่หุบ “เห็นทีเธอต้องให้ฉันยืมตัวครูของเธอบ้างแล้วละวาสินี”





          พอได้ยินเช่นนั้นสาวน้อยก็รีบถอนสายบัวด้วยความยินดีอย่างเปิดเผยจนมารดาของนางต้องกระแอมเตือน





          ท่านผู้หญิงอารดาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนเบนความสนใจของทุกคนไปที่มื้ออาหารว่างที่เหล่าคนรับใช้ยกออกมาตั้งคอย





          ยาปนรีบเข้าไปใกล้ชิดอุษาทันที ต่างจากพลวัตที่ยังคงอยู่ที่เดิมและมองไปทางกฤตยา





          หลังจากเหล่าโจรป่าถูกจับกุม ผู้เดินทางมากับกองคาราวานทุกคนต่างถูกให้ปากคำทั้งสิ้น และกฤตยาเองก็เป็นคนหนึ่งที่เขาสอบสวน เขายอมรับว่าตกใจมากทีเดียวที่เห็นว่านางเป็นสตรีเมื่อปลดหมวกคลุมศีรษะออก





          กฤตยาแจ้งแก่เขาเป็นนางเป็นคนที่หนีมาจากสงครามทางเหนือเมื่อสิบกว่าปีก่อน และขอให้เขารีบปล่อยนางเพราะนางไม่ต้องการให้นายจ้างรู้เรื่องเข้าจนเลิกจ้างนางเป็นครู





          จริงอยู่ที่นางพูดความจริงหรืออาชีพของนาง แต่จะให้เขาไว้ใจผู้หญิงที่ใช้อาวุธเป็นและไม่ลังเลที่จะใช้มันในยามขับคันได้อย่างไร





          เจ้าของดวงตาสีเทาเข้มละสายตาจากจอมนางและจ้องตรงมาทางพลวัตจนทำให้เขาเกือบต้องละสายตาออกจากนาง





          สตรีต่างถิ่นทำเพียงยิ้มจางๆ และก้มหัวนิดๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่านางจำเขาได้เป็นอย่างดี ต่างจากเจ้ายาปนที่เผลอตัวหลงลืมเพราะติดบ่วงเสน่ห์แห่งจอมนาง





          พลวัตลูบนิ้วไปบนสันด้ามดาบประดับหินโมราอย่างครุ่นคิด





          อย่างไรเสียเขาจะต้องจับตานางเอาไว้







------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะทุกๆ คน หมาเหงาในเงาจันทร์เองค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณและขอโทษทุกคนมากๆ เลยนะคะที่ยังคงติดตามแม้หยุดอัพเดตไปนานมาก ตอนนี้กลับมาอัพเดตแล้วค่ะ ต้องขอบคุณกำลังใจจากหลายๆ คนในเอ็กซ์ทีน โดยเฉพาะคุณใบเขียวที่อ่านเพลินจนไฟติด (ฮา)



เนื่องจากไม่ได้แต่งนิยายนานมาก ภาษาอาจจะขัดๆ ไปบ้างก็ยอมรับผิดโดยดุษณีนะคะ



มาคุยกันเรื่องเนื้อเรื่องดีกว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่าวาสินีนี่จะนิสัยเหมือนใครนะ คำตอบก็คือสามพี่น้องนิสัยเสียเหมือนกันหมดค่ะ คือใจร้อน แต่ยาปนกับสารัชเหมือนกันมากไปจนเกลียดขี้หน้ากัน



ในที่สุดบทนี้ ป้า (อันเป็น nickname ที่หมาเหงาฯ ตั้งให้ด้วยความรัก) ก็กลับมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามตัวหลักบทนี้กลับเป็นเจ้านางอุษาไปเสียฉิบ ส่วนป้าจะเดินเมื่อไรนั้นติดตามต่อไปได้ในตอนหน้านะคะ (ตอนนี้ยาวและเน้นปูเรื่องอาจจะน่าเบื่อไปสักนิด)


***ต้องขอโทษผู้อ่านที่ติดตามผ่านbloggerด้วยนะคะที่อัพเดตตามหลังExteen

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น